“ความพยาบาท” และ “หลายชีวิต”
- maytakatess
- Jul 5, 2019
- 1 min read
Updated: Jul 6, 2019
บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” และวรรณกรรม “หลายชีวิต”

นวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” และวรรณกรรม “หลายชีวิต” ทั้งสองเรื่อง มีเทคนิคการเล่าเรื่อง
การใช้ภาษา และพรรณนาที่ต่างกันไป ตามรูปแบบการเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้แต่งและผู้แปล นวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” ที่แต่งโดย มารี คาเรลลี่ นักเขียนชาวอังกฤษ ที่ใช้ชีวิตในชนบท
เธอได้สอดแทรกเนื้อหาที่ดูเหมือนจะเสียดสีสภาพสังคมในประเทศอังกฤษไว้ในเรื่องด้วย
แต่นวนิยายเรื่อง”ความพยาบาท” ซึ่งถูกแปลโดย พระยาสุรินทราชา (แม่วัน / นกยูง วิเศษกุล)
นักเรียนไทยที่ได้เคยไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษและมีความรู้ในภาษาอังกฤษอย่างมาก
เป็นการแปลแบบเรียบเรียง จึงไม่ได้สอดแทรกการเสียดสีสภาพสังคงอังกฤษ ตามที่ผู้เขียนได้ตั้งใจไว้ แต่จะแปลโดยเน้นเรื่องราวของหนุ่มสาวชชาวอิตาเลี่ยนมากกว่า
นวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” เขียนมานานนับร้อยปีแล้ว แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกเมื่อ 2444
ในหนังสือ “ลักไทย” โดยพระยาสุรินทราชา (แม่วัน / นกยูง วิเศษกุล) ในการเล่าเรื่องใช้การพรรณนาอย่างละเอียด จึงจินตนาการร่วมได้ ถึงสถานการณ์ อารมณ์ และความรู้สึกของตัวละคร เช่น
“โดยความโกรธและกลัว ข้าพเจ้าตั้งต้น จะกระทุ้งจะฉีกแผ่นกระดานด้วยมือและเล็บของตน แรงมีอยู่ในกายตัวกี่มากน้อยเอามาสดมภ์ลงที่แขนที่ไหล่ จะพังให้ฝาโลงทลายจงได้”
ผู้แปลใช้ภาคพรรณนาให้เห็นภาพตัวละครพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ทำลายฝาโลงนี้ให้พังไปได้อย่างชัดเจน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านข้อความดังกล่าว ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความอึดอัด ความท้อใจ และความรู้สึกหมดหนทางที่จะทำลายฝาโลง ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ผู้แปลใช้ภาษาที่สละสลวยพรรณนาความ ได้อย่างแจ่มแจ้งจนสามารถสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ผู้เขียนยังสามารถเล่าเรื่องอธิบายลำดับเหตุการณ์ และสร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดีด้วย ภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายและชัดเจน

วรรณกรรมเรื่อง “หลายชีวิต” เขียนขึ้นโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2528
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แต่งวรรณกรรมจำนวนมาก และวรรณกรรมจำนวนไม่น้อยของท่าน
ก็มีชื่อเสียงมาก หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง “หลายชีวิต” ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้คนที่แตกต่างกันทั้ง
เพศ วัย ฐานะ อาชีพ และภูมิหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางคือที่เดียวกันก็คือพระนคร
แต่ก็ไม่อาจเดินทางไปถึงได้ ด้วยพายุฝนกระหน่ำ จนทำให้เรือล่มในที่สุด วรรณกรรมเรื่องนี้
ผู้เขียนได้สอดแทรกความเป็นไทย วิถีชีวิตแบบไทย สังคมและแนวความคิดของชาวไทยในสมัยนั้น
ไว้อย่างดี การเล่าเรื่องก็สามารถนำเสนอได้อย่างดี ผ่านภาษาที่เข้าใจง่ายและลำดับเหตุการณ์ให้ได้รู้สึกนึกคิดไปตามที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อความ ทั้งบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำหรืออาคารบ้านเรือนในสมัยนั้น เนื้อเรื่องไม่ค่อยสลับซับซ้อนเท่าไหร่ ใช้คำดี พรรณนาเหตุการณ์ต่างๆด้วยภาษาง่ายๆ กระชับ
และชัดเจน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยจริงๆ เช่น
“น้าตรงนั้นมืดสนิท ทั้งฝนและพายุดูเหมือนจะเพิ่มกำลังแรงขึ้น ดุจว่ามัจจุราชนั้นยินดีในชัยชนะของตน”
ผู้เขียนเลือกใช้คำอุปมาอุปมัยได้อย่างเหมาะสมและสละสลวย ที่น่าสนใจคือ การสอดแทรกอารมณ์
เศร้าสลดในตอนท้าย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการนำเสนอเรื่องที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากๆ
ผู้เขียนอาจต้องการจะสื่อถึงเรื่องของผลกรรม ที่แต่ละคนได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม นำให้ผู้อ่านรู้สึกตระหนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสงสารตัวละครในเรื่อง ข้าพเจ้าเองอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ก็ยังหวนคิดกลับมาพิจารณาดูตัวเอง ถึงสิ่งที่เคยกระทำไว้เมื่อครั้งก่อนด้วยความเกรงกลัวต่อบาป อีกทั้งชีวิตของเราเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แน่นอนเสมอไป ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเพียงใดสุดท้ายก็ต้องตายไป ไม่สามารถเอาไปได้อยู่ดี ผู้เขียนอาจจะต้องการเตือนสติผู้อ่านอีกประการหนึ่งว่า
หากเราต้องการจะทำสิ่งใดให้เรารีบทำก่อนที่จะสายเกินไป
อีกประเด็นที่น่าสนใจ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องการจะสื่อถึงนัยยะบางอย่าง การอธิบายเปรียบเทียบแบบ บุคลาธิษฐาน เช่น
“เรือลำนั้นก็คว่ำลงทันที เครื่องยนต์ในเรือคงเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง สั่นสะท้านอย่างแรงแล้วก็หยุดเงียบ เหมือนกับหัวใจสัตว์ที่เต้นต่อสู้อย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อความตายมาถึงตัว”
ข้าพเจ้าได้อ่านนวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” ในบางตอน และวรรณกรรมดีๆ อย่าง “หลายชีวิต”
ก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป นวนิยายเรื่อง “ความพยาบาท” ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเข้าถึงตัวละครที่ผู้แปลได้เขียนไว้ ในบางเหตุการณ์ทำให้ข้าพเจ้าหัวใจเต้นแรง รู้สึกโกรธแค้น และลุ้นระทึกไปกับตัวละครนั้นๆ ตามเหตุการณ์เรื่องราวและภาษาที่ใช้บีบคั้นหัวใจข้าพเจ้าอย่างมาก ส่วนวรรณกรรมเรื่อง “หลายชีวิต”
ผู้เขียนใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ การลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มเรื่อง และการเดินเรื่องดีมาก เหมาะที่จะศึกษาหรือแม้แต่ใช้สอนลูกหลานได้ เพราะเนื้อเรื่อง
อ่านสนุกและมีบทเรียนสอนชีวิตอยู่มาก ดังเช่นข้าพเจ้าเองที่ได้อ่านวรรณกรรมเรื่องนี้จนจบ
ก็ตระหนักถึงผลกรรมที่เคยกระทำไว้ ทั้งกลัวบาปที่เคยทำจะตามมาทันเมื่อไหร่ และยังกลัวการทำบาปครั้งใหม่โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจด้วย แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมานี้จะยังไม่เกิดขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็ต้องหันมาพิจารณาตัวเองอย่างละเอียดและมีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมธาวี เทศนะ
Comments