บันทึกผ่านเส้นผม
- maytakatess
- Jul 7, 2019
- 3 min read
บทวิจารณ์ผลงานศิลปะในนิทรรศการ
"เรือน 3 น้ำ 4" (Ruen Sem Nam See : 7 Elements)

"เรือน 3 น้ำ 4" (Ruen Sem Nam See : 7 Elements)
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่งในขณะที่โลกกำลังหมุนไปเรื่อย ๆ วันเปลี่ยน
เวลาเปลี่ยนก่อให้เกิดประสบการณ์ที่แตกต่างไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น หรือยาวนาน
ต่างคนต่างพบเจอปัญหา อุปสรรค หรือแม้แต่บทพิสูจน์ตนเอง ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
และเมื่อระยะเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอดีต ซึ่งในบางครั้งคนเราก็มักจะจดจำในเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างดี และบางคนก็พยายามที่จะจดจำช่วงเวลานั้น ๆ เอาไว้ ก่อนที่จะกลายเป็นอดีต และอาจเผลอลืมมันไปในที่สุด ซึ่งความทรงจำที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีทั้งสุขและทุกข์
ปะปนกันไป จนทำให้ในบางความทรงจำที่มีค่า ก็อาจคู่ควรแก่การบันทึกเอาไว้ นอกจากนี้ข้าพเจ้า
เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ความทรงจำทั้งดีและไม่ดีก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าจดจำทั้งสิ้น อาจเพราะในความทรงจำที่ดี ในบางครั้งเมื่อเรานึกถึงมันก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ และความทรงจำที่ไม่ดี เมื่อเรานึกถึง
มัน ก็อาจทำให้เราได้สติ คิดทบทวน และเก็บความทรงจำนี้ไว้เตือนตนเองเพื่อการดำเนินชีวิตหลังจากนี้ เช่นเดียวกันกับความทรงจำของศิลปินหญิงอย่าง อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์ ผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเป็นสื่อกลาง ในการบอกเล่าความทรงจำที่สัมพันธ์กับช่วงเวลา ต่าง ๆ ของชีวิตเธอจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยผ่านการบันทึกเรื่องราว ในรูปแบบของงานศิลปะจากเส้นผม
อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์ เป็นศิลปินหญิงร่วมสมัยที่มีผลงานแสดงในระดับนานาชาติจำนวนมาก
ผลงานศิลปะจากเส้นผมของเธอจะบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ และมุมมองของศิลปินที่มีต่อประเด็นนั้น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามสิ่งที่สนใจ แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเธอด้วยแนวคิดในแบบไทยๆ และทัศนคติของหญิงไทยที่มีอยู่ในตัวศิลปิน ถูกรวบรวม ขัดเกลาเป็นอย่างดี ก่อนที่จะสรรสร้างเป็นผลงานศิลปะในแต่ละชิ้น
"เรือน 3 น้ำ 4" (Ruen Sem Nam See : 7 Elements) เป็นนิทรรศการแสดงเดี่ยวของศิลปิน
จัดแสดงที่นำทอง แกลเลอรี่ ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม - 31สิงหาคม 2560 ซึ่งนิทรรศการนี้มีแนวคิดต่อยอดมาจากนิทรรศการ "ออกเรือน" ในครั้งก่อน คำว่า “เรือน 3 น้ำ 4” เป็นสำนวนไทยที่หมายถึงคุณสมบัติของแม่ศรีเรือนที่ดี
เรือน3 ประกอบด้วย
1. “เรือนพักอาศัย” แม่บ้านที่ดีจะต้องดูแลให้สะอาดงามตาไม่รกรุงรัง และควรดูแลให้มีข้าวของ
เครื่องใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง
2. “เรือนใจ” คือมีจิตใจอบอุ่น เป็นที่พึ่งพิงทางใจทั้งยามสุขและทุกข์แก่สามีและสมาชิกในเรือนได้
3. “เรือนผม” มีความหมายโดยนัยหมายถึง แม่ศรีเรือนที่ดีแม้จะมีภาระหน้าที่ต้องทำงานบ้านดูแลบ้าน ทำกับข้าว แต่ไม่ควรละเลยที่จะเอาใจใส่ดูแลความสวยงาม ความสะอาดของตัวเอง ให้สวย สะอาด
ไม่มีกลิ่นกับข้าว กลิ่นเหงื่อ
น้ำ 4 ประกอบด้วย
1. “น้ำกินน้ำใช้” ต้องคอยดูแลให้มีกินและมีใช้พร้อมเสมอ และสะอาดด้วย ที่มีข้อนี้เพราะแต่ก่อนเมืองไทยยังไม่มีน้ำประปาต้องอาศัยน้ำบ่อ น้ำท่า หรือน้ำฝน ดังนั้นแม่ศรีเรือนที่ดีจะต้องดูแลเอาใจใส่
เรื่องนี้ให้คนในเรือนมีความสุข
2. “น้ำใจ” แม่ศรีเรือนที่ดีต้องมีน้ำใจเอื้ออาทร ทั้งกับสามี ลูก สมาชิกในครอบครัว เผื่อแผ่ไปถึงญาติ
มิตรของสามีด้วย
3. “น้ำคำ” คือต้องพูดจาอ่อนหวาน ไม่หยาบคาย จาบจ้วง รู้สิ่งควรพูดไม่ควรพูด
4. “น้ำเต้าปูน” สมัยก่อนคนไทยกินหมากกัน เชี่ยนหมากเป็นของสำคัญที่ต้องมีติดบ้าน แม่ศรีเรือนต้องคอยดูแลเอาใจใส่ “น้ำเต้าปูน” หมายถึงการหมั่นดูแลเติมน้ำใส่ในเต้าปูนซึ่งต้องมีความละเอียด
ถ้าเติมน้ำมากไป ปูนก็จะเหลวป้ายไม่ติด เติมน้ำน้อยไปหรือลืมเติมก็จะข้นเกินไปแห้งแข็งใช้ไม่ได้ สำนวนน้ำเต้าปูนนี้แม้ปัจจุบันเราจะไม่กินหมากกันแล้ว แต่มีความหมายโดยนัยว่าให้แม่ศรีเรือน
ดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของสามีและคนในบ้านโดยรอบคอบและใส่ใจ
โดยสุภาษิตดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับศิลปินในการต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานชิ้นต่อไป
ซึ่งภายในนิทรรศการนี้ ศิลปินได้นิยามความหมายของ "เรือน 3 น้ำ 4" ขึ้นมาใหม่ โดยคำว่า "เรือน 3" ได้แก่ เรือนกาย เรือนนอน และเรือนครัว ส่วนคำว่า "น้ำ 4" ได้แก่ น้ำ(ในธรรมชาติ) น้ำหอม น้ำเงิน
และน้ำคำ ซึ่งคำว่า "เรือน 3 น้ำ 4" มีที่มาจากสุภาษิตไทยในการใช้สอนผู้หญิงที่อยู่ในสถานะของแม่บ้านแม่เรือน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ครอบครัว และความทรงจำของศิลปินอยู่มาก
ภายในนิทรรศการมีผลงานศิลปะทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ ได้ติดตั้งอย่างเป็นสัดส่วน เล่าเรื่องราวระหว่าง "เรือน 3 น้ำ 4" ได้อย่างน่าสนใจ โดยข้าพเจ้าจะอธิบายผลงานแต่ละชุดโดยเรียงตามลำดับของชื่อนิทรรศการ เริ่มจาก "เรือน 3" ได้แก่ เรือนกาย เรือนนอน และเรือนครัว "น้ำ 4" ได้แก่ น้ำ (ในธรรมชาติ) น้ำหอม น้ำเงิน และน้ำคำ ตามลำดับ

"เรือนกาย"
จะอยู่ในส่วนขวาตรงกลางของ
ห้องแสดงงาน มีผลงานศิลปะจากเส้นผมจำนวนมากถูกจัดวางบนฐานสูงอย่างเป็นระเบียบ จำนวน 2ชุดขนานกัน ผลงานชื่อว่า
Self Portrait No.1 ขนาด111.5 x 87.5 x 170 เซนติเมตร เป็นผลงานที่มีการถักทออย่างละเมียดละไมจนเกิดเป็นมวลของเส้นผมขึ้น แต่ละชิ้นมีลักษณะที่แตกต่างกัน เทคนิคการถักที่ต่างกันไป และขนาดในแต่ละชิ้นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยการถักเส้นผมในแต่ละส่วน ศิลปินได้ใช้จินตนาการในการสร้างงาน
ร่วมกับ ความทรงจำในอดีต ประสบการณ์
และการใช้อารมณ์ความรู้สึกจากภายในของศิลปิน (Automatism) ที่แสดงออกและปลดปล่อยออกมาสู่ผลงาน ในการติดตั้งศิลปินเลือกผลงานแต่ละชิ้นมาเรียงกันให้เกิดภาพรวมคล้ายโครงสร้างของมนุษย์ และผลงานชุดนี้ศิลปินเลือกที่จะใช้เส้นผมสีดำและน้ำตาลในการสร้างสรรค์ ถูกยึดด้วยหมุดอันเล็ก ๆ
ติดกับฐานผ้ากำมะหยี่สีขาว ผลงานถูกครอบกรอบโดยอะคริลิคใส ถัดมาทางซ้ายมือ เป็นการถักทอเส้นผมในลักษณะที่คล้ายกับชุดก่อน ขนาดไม่แตกต่างกันมากนัก
จัดวางในลักษณะของการเรียงกันเป็นเส้นตรงยาว ทั้งหมด4แถว มีชื่อว่า Self Portrait No.2 โดยผลงานในชุดนี้ศิลปินเลือกใช้ผมหงอกทั้งสิ้น ก่อนจะนำมาติดตั้งบนฐานผ้ากำมะหยี่สีดำมีกรอบ
อะคริลิกใสครอบอยู่เช่นกันกับชุดแรก โดยในส่วนของ “เรือนกาย” ข้าพเจ้านำไปเชื่อมโยงเข้ากับ
“เรือนผม”ของสุภาษิตไทย ซึ่งมีความหมายโดยนัยหมายถึง แม่ศรีเรือนที่ดีแม้จะมีภาระหน้าที่
ต้องทำงานบ้านดูแลบ้าน แต่ไม่ควรละเลยที่จะเอาใจใส่ดูแลความสวยงาม ความสะอาดของตัวเอง
ซึ่งเปรียบเสมือนการดูแลตนเอง รักษาสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดี ก่อนที่จะไปดูแลสมาชิกในครอบครัว ซึ่งผลงานชุดนี้ ศิลปินได้นำเสนอผลงานในรูปแบบที่มีความขัดแย้งกันของเส้นผม
และลักษณะการจัดวางผลงาน ในการจัดวางผลงานทางด้านขวามือ Self Portrait No.1 ซึ่งเป็นการใช้เส้นผมสีดำและน้ำตาล โดยการจัดวางในลักษณะนี้ผู้ชมสามารถจินตนาการได้ถึงโครงสร้างของมนุษย์ได้ชัดเจน ซึ่งทำให้นึกถึงการมีชีวิตอยู่ การเกิดและดับไปของมนุษย์คนหนึ่ง รวมทั้งเป็นการเตือนสติผู้ชมว่ าแท้จริงแล้วมนุษย์ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามหลักธรรมของศาสนาพุทธ ฉะนั้นจึงเป็นการเตือนสติในการใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด มีสติรู้ตนเองอยู่เสมอ ก่อนที่จะการเป็นเพียงโครงกระดูก
หรือขี้เถ้าของศพ

ส่วนทางซ้ายมือผลงาน Self Portrait No.2 ที่ใช้ผมหงอกในการสร้างสรรค์ นำไปสู่การเจริญเติบโต
และวัฏจักรของมนุษย์ โดยการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นตามความเชื่อทางศาสนาพุทธเช่นกัน
การเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมในแต่ละภพชาติ นอกจากนี้ผมหงอกที่ใช้ยังแสดงถึงการเจริญเติบโตของมนุษย์ได้อีกด้วย บอกเล่าระยะเวลา เรื่องราว ประสบการณ์ของบุคคลได้ในช่วงวัยสูงอายุ
และยังทำให้ข้าพเจ้านึกถึงสิ่งของล้ำค่า หรืออัญมณี ซึ่งการถักทอผมหงอกที่มีสีขาวหลากหลายเฉดซึ่งแสดงถึงช่วงระยะเวลา อายุของบุคคลนั้น ๆ แต่ละเส้นตกกระทบกับแสงไฟจนเกิดประกาย
และการจัดวางในลักษณะเรียงเป็นแถว ๆ เช่นนี้ เสมือนการจัดวางของอัญมณีเครื่องประดับ เช่น
แหวน สร้อย และต่างหู ซึ่งผมหงอกดังกล่าวแน่นอนว่าสามารถพบเห็บได้ในคนสูงอายุ แสดงถึงการเติบโต การให้กำเนิด การเลี้ยงดูบุตรหลาน รวมทั้งตัวตนของมนุษย์ในช่วงท้ายของชีวิต
สื่อถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ทุกคนก็คือตัวตนของเราเอง นอกจากนี้ยังแสดงถึงความเป็นตัวตน
ของศิลปินเอง ที่เติบโตขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเส้นผมหงอกก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทดแทนตัวตนของเขาได้
เป็นอย่างดี ตามชื่อผลงาน Self Portrait.

"เรือนนอน"
ผลงานศิลปะในชุดนี้มีทั้งหมด
3ชิ้น (Love Rorschach No. 1 2 3) แต่ละชิ้นเป็นภาพวาดที่ใช้สีอะคริลิคผสมกับเส้นผม
เป็นสื่อหลักในการสร้างผลงาน ซึ่งภาพวาดดังกล่าวมีลักษณะนามธรรม และในขณะเดียวกันก็มีความเป็นรูปธรรมสอดแทรกอยู่ในผลงานเช่นกัน การใช้เทคนิค Rorschach Test
เป็นหนึ่งในทฤษฎีทางจิตวิทยา ซึ่งใช้สำหรับวิเคราะห์ความผิดปกติทางจิต ซึ่งทำให้สามารถเข้าใจ และทราบถึงสภาวะจิตใจของผู้ป่วยนั้น ๆ ได้ เทคนิคดังกล่าวนี้มีกระบวนการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือการวาดหรือระบายสีลงบนกระดาษ ต่อจากนั้นจึงพับครึ่งกระดาษ ก็จะเกิดเป็นภาพที่มีการสะท้อนอย่างเท่ากันซ้ายขวา ภาพวาดจากสีอะคริลิคผสมเส้นผมทั้ง 3 ภาพ ล้วนมีลักษณะคล้ายคลึงกับท่าทางการร่วมเพศของชายและหญิง ซึ่งท่าทางของเรือนร่างมนุษย์ที่แสดงออกมาผ่านผลงานที่มีความเป็นนามธรรมอยู่ ทำให้ผลงานมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ในส่วนของสุภาษิต “เรือน 3 น้ำ 4” “เรือนนอน” ข้าพเจ้าเชื่อมโยงเข้ากับ “เรือนใจ” คือหญิงที่มีจิตใจอบอุ่น เป็นที่พึ่งพิงทางใจทั้งยามสุขและทุกข์แก่สามีและสมาชิกในเรือนได้ ข้าพเจ้ามองว่าด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปการแสดงออกความรักของสามีภรรยา หรือการแสดงออกในเรื่องเพศของหนุ่มสาวปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนทำให้ความรักและความใคร่แทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวกันไปแล้ว ผลงานศิลปะชุด “เรือนใจ” จึงเป็นรูปแบบของการร่วมเพศของคู่รักจนเกิดเป็นชิ้นของ “เรือนนอน” อาจเพราะความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวในปัจจุบันมีสถานะที่หลากหลาย และเปิดกว้าง จึงทำให้การพึ่งพิงอาศัยกันของสามีภรรยาบางคู่ ก็เสมือนกับการอยู่เพื่อร่วมเพศเพียงเท่านั้น หรืออาจจะกล่าวถึงสถานภาพของสังคมที่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ก็สามารถร่วมเพศกันได้ การปรับเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นแฟน หรือจากแฟนเป็นคนไม่รู้จักกัน ข้าพเจ้ามองว่า ศิลปินเลือกที่จะตั้งคำถามให้กับสังคมปัจจุบันในสถานะของคู่รัก โดยผ่านการตั้งคำถามที่ว่า “คู่รักหรือแค่คู่นอน” ก็เป็นได้ และด้วยความที่ศิลปินนำเสนอ
ผลงานที่มีความเชื่อมโยงกับศาสนา จารีต ประเพณี ผลงานชุดนี้จึงเชื่อมโยงกับลัทธิตันตระในวัชรยานของศาสนาพุทธเช่นกัน โดยภาพผลงานของศิลปิน มีความแปลกประลาด ท่าทางที่พิสดาร
และทำให้ข้าพเจ้านึกถึงการร่วมเพศของลัทธิดังกล่าว ซึ่งเป็นลัทธิที่เชื่อกันว่าจะพัฒนาชีวิตรักของมนุษย์ เป็นการปฏิบัติกิจกรรมทางเพศเพื่อความรู้แจ้ง จากการใช้สมาธิ พลังจิต และการควบคุมทางเพศ
ผู้ฝึกตันตระจะพบกับความสุขทางเพศอย่างไม่เคยพบมาก่อน และสามารถมีความสุขทางเพศได้บ่อยครั้ง และยาวนานยิ่งขึ้น การหลุดพ้นของลัทธิดังกล่าวนี้ คือการเบื่อในการมีเพศสัมพันธ์นั้นเอง
ซึ่งงานศิลปะชุดนี้เสมือนการเสียดสีสังคมปัจจุบัน ซึ่งมนุษย์ต่างร่วมเพศและไม่ซื่อสัตย์ในคู่ครอง
ของตน รักสนุกและกระทำผิดในกามกันมาก แต่มิใช่การปฏิบัติตามหลักของศาสนาหรืออยู่ในศีลธรรมที่ควรจะเป็นนั้นเอง

"เรือนครัว"
ผลงานในชุดนี้ได้ติดตั้งอยู่บริเวณภายในสุดของห้องนิทรรศการ เป็นผลงานประติมากรรมขนาด
100 x 50 x 290 เซนติเมตร จำนวน 4ชิ้น โดยสร้างจากดินเผา และยังมีลักษณะรูปทรงที่คล้ายกับเชิงกรานผู้หญิง ด้านบนของผลงานประติมากรรมแต่ละชิ้น จะมีการเจาะรูขนาด3 เซนติเมตรไว้ตรงกลางผลงาน จากนั้นศิลปินได้ถักทอเส้นผมพร้อมทั้งนำมาติดตั้งไว้ด้านล่างของรูที่เจาะไว้ในตอนต้น
ตามด้วยการวางลูกแก้วใสที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 6 เซนติเมตรลงบนรูที่เจาะไว้ ความน่าสนใจของงานศิลปะชิ้นนี้จึงมีลักษณะที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อการมองจากด้านบนของตัวงาน มองลงไปตรงกลางลูกแก้วที่อยู่ใจกลางเชิงกรานนั้น มีการเกิดภาพขยายของเส้นผม ที่ถูกส่องแสงสะท้อนกลับจากหลอดไฟที่ติดตั้งอยู่เบื้องล่าง เกิดเป็นภาพนามธรรม คล้ายรูปทรงของเรขาคณิตที่ทับซ้อนกันจำนวนมาก และยังมีการเกิดสี ที่เกิดจากการหักเหของแสงซึ่งตกกระทบกับแก้วที่มีคุณสมบัติคล้ายกระจก
ทำให้เกิดภาพทับซ้อนของเส้นผมในมิติต่าง ๆ หลากสีทับซ้อนกันอยู่ เป็นกระบวนการนำเสนอผลงานที่ดึงดูดมนต์เสน่ห์ของเส้นผมได้อย่างดี นอกจากนี้ “เรือนครัว” ก็คงเปรียบเสมือน “เรือนพักอาศัย”
ซึ่งแม่บ้านที่ดีจะต้องดูแลบ้านให้สะอาด และควรดูแลให้มีข้าวของเครื่องใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง
การสร้างผลงานในรูปแบบของเชิงกรานเพศหญิง ซึ่งทำให้นึกถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย และเสมือนการแบกรับภาระของการดูแลคนในครอบครัวให้มีความสุข ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การดูแลรักษาร่างกาย การเอาใจใส่คนในครอบครัว หากแต่ยังรวมไปถึงการดูแลปากท้อง บำรุงรักษาสมาชิกครอบครัวให้อยู่ดีกินดี การอดทนของแม่ที่ตั้งครรภ์ โดยแบกร่างของเด็กน้อยทารกไว้บนเชิงกรานตนเองเป็นเวลา 9 เดือน สืบเนื่องไปจนการให้กำเนิดบุตร และเลี้ยงดูบุตรให้เติบโตอย่างสมบูรณ์
รวมไปถึงการดูแลตนเอง การรักษาอาการเจ็บปวดหลังจากการคลอด ซึ่งสมัยก่อนจะมีสิ่งที่เรียกว่า “อยู่ไฟ” เชื่อว่าจะช่วยทำให้ร่างกายฟื้นจากความเหนื่อยล้าให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว
โดยใช้ความร้อนเข้าช่วย แน่นอนว่าผู้เป็นแม่ก็จำเป็นที่จะต้องทนความร้อนของไฟ เพื่อรักษาตนเอง
ให้หายจากการเจ็บปวดนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะกลับมาทำหน้าที่ของแม่บ้านแม่เรือนที่ดีอย่าง
ไม่ขาดตกบกพร่อง

"น้ำ"
"น้ำ" (Aqua Imagery No.1-15) ผลงานศิลปะชุดนี้ ศิลปินเลือกใช้คำว่า "น้ำ" ซึ่งมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ
ถูกจำแนกออกเป็น 3 ส่วนประกอบด้วย ใบไม้
มีจำนวน 7 ชิ้น ร่างกาย 4ชิ้น และการประมง 4 ชิ้น รวม 15 ชิ้น ขนาด 40 x 50 เซนติเมตร
ผลงานชุดนี้ได้ใช้รูปแบบของการวาดเส้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่ได้เลือกใช้เส้นผมมนุษย์ในการสร้างงาน แต่วาดเส้นทีละเส้นตามความรู้สึกแล้วจินตนาการ ก็ให้ความรู้สึกถึงการสาน
การถักทอเฉกเช่นเดียวกับการถักทอเส้นผม เป็นการสร้างผลงานในช่วงเวลาที่ไม่ต้องการให้เกิดการควบคุม การวาดภาพแบบ “ปล่อยให้มันเป็นไป” (Automatism)คอยเฝ้าดูและยอมรับ“สิ่งที่เกิดขึ้นในงานจิตรกรรม”และถึงแม้ผลงานชุดนี้จะมีแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่ก็แสดงอออกถึงความเป็นนามธรรมได้อย่างชัดเจนเช่นกัน เชื่อมโยงกับสุภาษิตได้ในส่วนของ “น้ำกินน้ำใช้” ที่ต้องคอยดูแลให้มีกินและมีใช้ นอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจจากน้ำแล้ว ศิลปินยังได้แรงบันดาลใจจากการที่ต้องสูญเสียสวนของพ่อไป หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปไม่นาน เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของศิลปิน ทั้งสูญเสียคนรักไปจากตน และยังรักษาสิ่งที่พ่อรักเอาไว้ไม่ได้ ศิลปินทำได้เพียงเก็บใบไม้ที่หล่นร่วงในสวนแห่งนี้ก่อนที่จะขายมัน และนำใบไม้พวกนั้นมาเป็นต้นแบบของรูปทรงในผลงานศิลปะชุดนี้ (ใบไม้จากสวน 7 ชิ้น)
การสร้างผลงานศิลปะในชุดนี้ มีการนำเสนอเรื่องราวของน้ำในหลากหลายรูปแบบ อาทิ น้ำจากใบไม้
ซึ่งอาจจะเป็นน้ำตาจากสิ่งสุดท้ายที่พ่อให้ก็เป็นได้ น้ำจากร่างกาย 4 ชิ้น แสดงถึงการเกิด แก่ เจ็บ
ตายของมนุษย์ ซึ่งในบางเวลามนุษย์เราก็มักจะมองข้ามสิ่งสำคัญไปบ้าง ข้าพเจ้าเพียงแค่นึกถึงผลงานชุดนี้ น้ำในแบบของร่างกาย ที่ผลงานมีลักษณะโครงสร้างภายนอกเป็นโครงสร้างร่างกายมนุษย์
ในกิริยาต่าง ๆ ซึ่งมีความเป็นนามธรรมปนอยู่ แต่ผลงานยังสามารถทำให้รู้สึกถึงความจริงของมนุษย์ได้ เช่นโครงสร้างที่คล้ายกับอวัยวะเพศหญิง เรือนร่างผู้หญิงนอนอย่างสงบนิ่ง แต่กลับถูกมองข้าม
ให้เป็นภาพในลักษณะของนามธรรม และสุดท้ายคือน้ำในแบบของอาชีพชาวประมง ซึ่งแทบจะเป็น
วิถีชีวิตในสมัยก่อนของคนในชาติเรา การมีชีวิตอยู่ได้ในรุ่นปู่ยานั้นเป็นเพราะน้ำแห่งนี้หรือไม่
ทำไมมนุษย์ถึงมองข้ามสิ่งที่มีคุณค่าต่อตนเองและบรรพบุรุษได้

"น้ำหอม"
ผลงานชุดนี้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก "น้ำหอม" (Perfume Portrait)
เป็นการถักเส้นผมครอบคลุมขวดน้ำหอม ขนาด 15 x 5 x 5 เซนติเมตร เป็นการถักเส้นผมที่มีลักษณะเดียวกันกับการถักวิกผม และตรงข้ามกับผลงานดังกล่าว เป็นผลงาน "น้ำหอม"ส่วนที่สอง
(Family Portrait) จำนวน 10 ชิ้น ต่างขนาดกันไป ในผลงานชุดนี้ศิลปินมีรูปแบบในการถักทอ
เส้นผมที่หลากหลายผสมกับจินตนาการในขณะนั้น สร้างสรรค์เป็นผลงานชุดนี้ สานเส้นผมครอบคลุมขวดน้ำหอมเล็ก ๆ ให้มีลักษณะราวกับขวดน้ำหอมเป็นหุ่นลองเสื้อผ้า เส้นผมที่ศิลปินถักขึ้นจึงกลายเป็นเสื้อผ้าไปโดยปริยาย เชื่อมโยงกับ “น้ำเต้าปูน” ซึ่งปัจจุบันแทนความหมายโดยนัยว่าให้แม่ศรีเรือนดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของสามีและคนในบ้านโดยรอบคอบและใส่ใจ สิ่งที่เหมาะที่ควรในการเอาใจสามี
ในสมัยการการทำน้ำเต้าปูนอาจจะหมายถึงการเป็นแม่ศรีเรือน แต่ในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นการทำตัวให้ดูดี สวยงาม น่าหลงใหล หรือที่เรียกว่า เสน่ห์ ก็เป็นได้ เนื่องจากผลงานศิลปะชุดนี้ ศิลปินให้ค่าน้ำหนักของน้ำหอมโดยชัดเจน ซึ่งข้าพเจ้ามองว่า น้ำหอมในปัจจุบัน ก็มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้หญิง
ผู้หญิงส่วนมากมักใช้น้ำหอมในการเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง และปกปิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
ทำให้การถักทอเส้นผมในลักษณะนี้ เสมือนการสร้างสิ่งที่สวยงาม เพื่อมาปกปิดและปิดบังตัวตนที่อยู่ภายในของผู้หญิง การไม่เป็นตัวของตัวเองโดยใส่หน้ากากในสังคม เพื่อให้ดูดี โดดเด่นและน่าสนใจ ผลงานในแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์ของตนเองที่ไม่ซ้ำกัน และยังคงสามารถมองเห็นขวดน้ำหอมอยู่บ้าง เสมือนการแสดงตัวตนของตนเองในสังคมได้อย่างไม่เต็มที่หรือไม่ หรือกล่าวถึงความสำเร็จของผู้หญิงในการนำเสนอตนเองที่ไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ ต่อสังคมกันแน่

"น้ำเงิน"
"น้ำเงิน" (Control) ผลงานติดตั้งอยู่กลางห้องนิทรรศการใกล้เคียงกับผลงานชุด "เรือนกาย" เป็นผลงาน3มิติ สูงราว ๆ 16เซนติเมตร
และกว้าง 6 เซนติเมตร จำนวน 2ชิ้น จัดวางขนานกันอยู่บนฐานสูงที่มีกรอบอะคริลิคใสปกคลุม ผลงาน 3มิติทั้ง 2 ชิ้นนี้มีความน่าสนใจในการติดตั้งตัวงาน ซึ่งแน่นอนว่าศิลปิน
ใช้เทคนิคที่น่าสนใจในการถักทอเส้นผม
ให้มีรูปทรงที่เป็น 3มิติได้ รวมทั้งมีการหยิบเหรียญบาทไทย เพื่อใช้ในการติดตั้งตัวผลงาน โดยการหยอดเหรียญลงไปในผลงานทั้ง 2 ชิ้น จนกว่าตัวงานจะสามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยศิลปินไม่สามารถที่จะทราบจำนวนที่แน่นอนของเหรียญที่จะหยอดลงไป
ทำให้ข้าพเจ้านำไปเชื่อมโยงกับ “น้ำใจ”
ซึ่งแม่ศรีเรือนที่ดีต้องมีน้ำใจเอื้ออาทรทั้งกับสามี ลูก สมาชิกในครอบครัว เผื่อแผ่ไปถึงญาติมิตรของสามีด้วย ผลงานชุดนี้สะท้อนสุภาษิตข้างต้นได้เป็นอย่างดี การติดตั้งผลงานที่ศิลปินเลือกใช้ โดยการหยอดเหรียญบาททีละบาทลงไปในชิ้นงาน จนทำให้สามารถตั้งได้ในที่สุด เสมือนการขัดเกลาจิตใจมนุษย์ การรู้ตัวตนและไม่หวังในลาภยศ การติดตั้งเช่นนี้เปรียบเสมือนการกระทำของมนุษย์ ซึ่งคนเราไม่ควรทำในสิ่งที่เกินตัว หรือหวังผลจากการกระทำ การที่หยอดเหรียญลงในผลงานที่มีลักษณะคล้ายร่างกายมนุษย์น้อยเกินไป ก็จะทำให้ผลงานตั้งไม่ได้ และการหยอดเหรียญมากเกินไปก็จะทำให้ผลงานล้มลงในที่สุด ซึ่งแสดงถึงการเตือนสติ
ให้มนุษย์เราทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลง
และพร้อมจะแบ่งปันน้ำในแก้วให้กับผู้อื่นได้เสมอนั้นเอง

"น้ำคำ"
สุดท้ายคือ "น้ำคำ" ศิลปินใช้เทคนิคการถักทอเช่นเดิม แต่รูปแบบในการนำเสนอโดยใช้ตัวอักษรจากเส้นผม ในลักษณะของคำพูดจากพ่อเป็นแรงบันดาลใจในผลงานชุดนี้ ข้อความดังกล่าวคือ
"ขอให้พวกเราอยู่อย่างหมาๆ" (Family Quote,Wish Us Living Like Dogs) ถูกติดลงบนผ้าใบและติดตั้งในลักษณะที่กลับหัวกลับหาง ในกรอบไม้สีน้ำตาทอง ขนาด 96.5 x 162 x 19.5 เซนติเมตร
ติดอยู่บนผนังของนิทรรศการทางด้านขวาจากทางเข้านิทรรศการ เชื่อมโยงกับ “น้ำคำ” ในสุภาษิต
“เรือน 3 น้ำ 4” คือต้องพูดจาอ่อนหวาน ไม่หยาบคาย จาบจ้วง รู้สิ่งควรพูดไม่ควรพูด เป็นผลงานศิลปะที่สอดแทรกสุภาษิตเอาไว้เพื่อสั่งสอน และเตือนสติในการใช้ชีวิต โดยตัวผลงานได้ติดตั้งอย่างกลับหัวทำให้ข้อความจากเส้นผมผิดแปลกจากเดิม และปลายของเส้นผมที่ทิ้งลงจากแรงโน้มถ่วงโลก
การติดตั้งถ้อยคำจากพ่อของศิลปินในลักษณะนี้กลับทำให้ผลงานมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
แสดงถึงการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเรียบง่ายที่สุด พื้นบ้านที่สุด และซื่อสัตย์ให้ได้อย่างหมา
ทำในสิ่งที่ควรทำและไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นผลงานที่ถักทอจากความรู้สึกและ
ความทรงจำอันมีค่าช่วงหนึ่งในชีวิตศิลปินที่ได้จากคุณพ่อ นอกจากนี้ยังมีการเสียดสีสังคม
อยู่เล็กน้อย ด้วยการหยิบยกตัวอย่าง ที่มนุษย์ควรจะอยู่อย่างหมา ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นสัตย์ประเสริฐที่สุดมิใช่หรือ และทำไมเราจึงจะต้องนำหมามาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตด้วย
นั้นเพราะเราใช้ชีวิตกันแบบผิด ๆ อยู่หรือไม่ หรือเพราะเราใช้ชีวิตมนุษย์ของเราที่ต่ำช้ายิ่งกว่าหมากันแน่
นิทรรศการ “เรือน 3 น้ำ 4” จึงไม่เพียงแต่เป็นนิทรรศการ ในการสะท้อนแนวความคิดแบบไทยในตัวศิลปินเท่านั้น
ยังสะท้อนมุมมอง วิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่เกิดขึ้นจากความทรงจำและประสบการณ์
ของศิลปิน ซึ่งเกี่ยวโยงกับบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ และพี่น้องของศิลปินเอง เป็นผลงานที่มีจุดกำเนิดจากเรื่องราวส่วนตัว ความรู้สึก ความทรงจำส่วนตัวของศิลปิน ที่มีประเด็นในการแสดงออกที่เปิดกว้างและมีกลิ่นไอของความเป็นไทยปะปนอยู่ในนิทรรศการอย่างแนบเนียน ดังนั้นนิทรรศการนี้
จึงการจดบันทึกความทรงจำในเรื่องราวต่าง ๆ ของศิลปินผ่านผลงานศิลปะ ที่มีความทรงจำทั้งดีและ
ไม่ดีเป็นบทเรียนในนิทรรศการนี้ พร้อมทั้งยังมีการสอดแทรกคำสอน และสะท้อนข้อคิดต่าง ๆ
ผ่านผลงานศิลปะในทุก ๆ ชิ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งศิลปินเองเลือกที่จะหยิบเรื่องราวที่เจ็บปวดเสียใจของตนเองขึ้นมาพูดในงานศิลปะ เพื่อเป็นการปลดปล่อยความรู้สึก และเป็นการแชร์ประสบการณ์ของ
ตนให้แก่ผู้ชมงานได้รับรู้ และตีความต่อไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน
เมธาวี เทศนะ
Comments