ความเสมอภาค(ไม่)มีอยู่จริง
- maytakatess
- Jul 5, 2019
- 2 min read
Updated: Jul 6, 2019
บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานศิลปะของ
อริญชย์ รุ่งแจ้ง

การเมืองการปกครอง เป็นกระบวนการและวิธีการ ที่นำไปสู่การตัดสินใจในการปกครองหรือพัฒนาประเทศ
เป็นเรื่องของคนหมู่มาก ทั้งระดับบุคคล ครอบครัว ตลอดจนประเทศชาติ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญและใกล้ตัวมาก เนื่องจากมนุษย์โดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกัน หากไม่ได้กำหนดกติกาหรือข้อบังคับขึ้น เพื่อกำกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์แล้วนั้น
มนุษย์ด้วยกันเองก็จะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
ฉะนั้นแล้วการตั้งกฎเกณฑ์ข้อตกลงกันในหมู่คณะ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ และอาจนำไปสู่
ความเป็นระบบระเบียบ หรือการพัฒนาในสังคมนั้นๆ
สังคมไทยเป็นสังคมที่เน้นความเป็นอิสระ คนในสังคมมีความเป็นปัจเจกบุคคล การดำรงชีวิตของผู้คนเป็นไปอย่างสบาย ไม่ถูกกดดัน ซึ่งเป็นการอบรมที่เกิดขึ้นในระดับครอบครัว ส่วนในระดับนอกครอบครัว ได้รับอิทธิพลของระบบราชการและอำนาจของรัฐ ค่านิยม อำนาจนิยม จึงมีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมวัฒนธรรมการเมืองของไทย อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตเพิ่มเติมคือ กลุ่มคนบางส่วนในสังคมไทยก็
เรียนรู้การต่อต้านอำนาจ และการมีพฤติกรรมการเมืองรูปแบบอารยะขัดขืนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจาก
การเรียนรู้และให้ความสนใจกับการเมือง อีกทั้งการเปิดเสรีภาพภายในระบบการเมืองมากขึ้น
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมนั้นๆ สถาบันต่างๆ ทางสังคม และการบริหารจัดการของรัฐบาล นอกจากนี้นิสัยพื้นฐานของคนไทย ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาหรืออย่างมีเหตุและผล โดยมักหลีกเลี่ยงการแสดงออกที่เปิดเผย หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง มักใช้การประนีประนอม ซึ่งเป็นนิสัยพื้นฐานของคนในสังคม รวมทั้งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการ
ปิดกั้นทางการรับรู้ของคนในสังคม สิ่งที่ควรจะได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย กลับถูกปิดบัง
หรือห้ามไม่ให้รับทราบข้อมูลต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นการทำให้กระบวนการและพฤติกรรมการมี
ส่วนร่วมของคนในสังคมเกิดการบิดเบือน เป็นส่วนหนึ่งที่สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วมที่จอมปลอม และทำให้ประชาธิปไตยไร้เสถียรภาพ และไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่าระบบการเมืองการปกครองในสังคมไทยกำลังถอยหลังเข้าคลอง
ไม่มีความเสมอภาคและความโปร่งใสเกิดขึ้นจริง
อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวในข้างต้นว่า องค์ความรู้เรื่องวัฒนธรรมการเมืองไทยยังจำกัดการรับรู้
และบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า ประชาชน
ในสังคมไทยเข้าใจถึงระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด มีแนวคิด
ในวัฒนธรรมทางการเมืองไทยว่าเป็นประชาธิปไตย หรือไม่เป็นประชาธิปไตยจากสิ่งใด หรือแท้จริงแล้วการเป็นประชาธิปไตยในที่นี้มีนัยยะเพียงการสร้างระบบให้ห่างไกลจากการมีวัฒนธรรมการเมืองที่ไม่เป็นเผด็จการ ซึ่งในอันที่จริงการศึกษาวัฒนธรรมการเมืองควรมีหลายมิติที่จะตอบโจทย์ในสังคม
และปรับทัศนคติของคนในสังคมให้ดีขึ้น และมีทัศนะคติทางการเมืองอย่างเป็นกลางและโปร่งใส
การศึกษาวัฒนธรรมการเมืองเป็นสิ่งที่จำเป็นในการชี้วัดการพัฒนาของประชาธิปไตยในแต่ละสังคม แนวความคิดที่เรียกว่าวัฒนธรรมการเมืองมีการนำเสนอมากว่าครึ่งศตวรรษ และเคยเป็นแนวความคิด
ที่ได้รับความนิยมในการศึกษาอย่างแพร่หลายในหมู่นักรัฐศาสตร์ในช่วงทศวรรษ70 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาองค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์ ที่เข้ามาสู่สังคมไทยภายใต้อิทธิพลขององค์ความรู้จากสหรัฐอเมริกา และการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญในหลายๆ ภาคส่วนของชาติตะวันตก
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนของสังคมไทย หรือกล่าวได้ว่าสภาพสังคมในแต่ละช่วงนั้น
ไม่ได้มีเพียงแค่ปัจจัยภายในประเทศแต่ยังครอบคลุมไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลกซึ่งมีความเกี่ยวโยงกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ระบบการเมืองการปกครองในสังคมไทย จะมีการผันผวนเปลี่ยนแปลงไปเพราะการรับวัฒนธรรมต่างชาติมาผสมผสาน หยิบยืมและปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง หรือการนำเอาระบบและแนวคิดต่างๆ มาใช้ภายในประเทศ ซึ่งมีการติดต่อ
และเชื่อมโยงกันทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516วันมหาวิปโยคของคนไทยที่พูด
ไม่ได้เต็มปากว่าเป็นการประท้วงที่สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ได้เป็นหนึ่งใน
แรงบันดาลใจ ให้กับนานาประเทศได้ลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็น กรีซ เกาหลีใต้ หรือแม้แต่
การประท้วงในอีกหลายๆ ครั้งต่อมาในประเทศไทย
อย่างที่ทราบกันดีว่า งานศิลปะตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน มีแนวคิดแบบทฤษฎีมากมายที่จะสามารถถ่ายทอดให้ผู้ชมได้รับรู้ และเห็นคุณค่าของงานศิลปะนั้นๆ ในแต่ละยุคสมัย ต่างเป็นไปตามสภาพสังคม และค่านิยมในสมัยนั้นๆ เป็นส่วนสำคัญ จึงทำให้การแสดงออก และการสื่อความหมายของงานศิลปะ
ในแต่ละช่วง มีบริบทที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับตัวของศิลปินผู้สร้างเองเป็นสำคัญในการเลือกนำเสนอผลงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ การใช้หลักทางสุนทรียศาสตร์ แนวทางใดแนวทางหนึ่ง
รวมทั้งการหยิบจับประเด็นต่างๆ มาพูดถึงในผลงานศิลปะของศิลปิน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ตัวอย่างเช่น ผลงานศิลปะของ อริญชย์ รุ่งแจ้ง ซึ่งสำหรับข้าพเจ้านั้นเป็นผลงานที่รวมเอาหลักทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ศิลปะในเรื่องการลอกเลียนแบบ ซึ่งสามารถสะท้อนแนวคิดของศิลปินผ่านผลงาน
ได้อย่างน่าสนใจ รวมทั้งผสมผสานหลักวิธีคิดที่มีต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย ที่ข้าพเจ้าได้
กล่าวไว้ในข้างต้นได้อย่างแนบเนียน
จากอดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ไล่มาจนถึงอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรธนบุรี และหยุดอยู่ที่
กรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆ ในอดีตทั้งที่ถูกบันทึกและไม่ถูกบันทึก ล้วนเป็นส่วนหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์ไทยทั้งสิ้น วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย วิวัฒนาการของข้าวของเครื่องใช้
รวมไปจนถึงการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ต่างก็ส่งผลถึงประชาชนคนไทยในยุคสมัยต่อมาทั้งสิ้น
จึงกล่าวได้ว่าการติดต่อค้าขายกับต่างชาติก็ดี การเข้ามาเพื่อการทหารก็ดี เพื่อเผยแผ่ศาสนาก็ดี
ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ที่ยังคงฝากไว้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประเทศ
ใด จะเข้ามาเพื่อเหตุผลใด ประเทศของเราทั้งหลายต่างก็มีประวัติศาสตร์ร่วมกันแล้ว

หนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นร่วมกันระหว่างชาติตะวันตกกับไทย เป็นเพียงเหตุการณ์ใน
ช่วงหนึ่งซึ่งมีวัตถุทางวัฒนธรรมของชาติไทยเป็นสื่อกลาง เหตุการณ์ดังกล่าว จึงถูกนำกลับมาเล่าใหม่
อีกครั้ง ผ่านนิทรรศการผลงานศิลปะซึ่งสอดแทรกไปด้วยประวัติศาสตร์ที่แทบไม่ถูกกล่าวถึงเลย
ให้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง อย่างชุดผลงานศิลปะ มงกุฎ (Mongkut) ที่เป็นกระบวนการจำลอง
พระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง อันเป็นหนึ่งในเครื่องมงคลราชบรรณาการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ถวายแด่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ในปี ค.ศ.1861 ศิลปินสร้างขึ้นมาใหม่ใน
รูปแบบของผลงานศิลปะร่วมสมัย ได้เข้าไปแสดงในนิทรรศการSatellite program 8 ที่จัดขึ้น
โดยพิพิธภัณฑ์Jeu de Paume และพิพิธภัณฑ์CAPC musée d’art contemporain ของฝรั่งเศส
และจัดแสดงครั้งล่าสุดที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร นอกจากนี้ในปี 2017 เขายังเป็นศิลปินไทย
เพียงคนเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดงงานในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด
อีกแห่งอย่าง มหกรรมศิลปะ Documenta ครั้งที่ 14 ปี 2017ที่เมืองคาสเซล ประเทศเยอรมนี
และกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ผลงานศิลปะชุด 246247596248914102516… And then there were none และ And then there were none (Tomorrow we will become Thailand.)
ศิลปะจัดวางที่ประกอบด้วยวิดีโอ ภาพวาด และประติมากรรมที่จำลองจากรูปปั้นนูนต่ำบนฐาน
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของทองเหลืองและไม้อย่างงดงามตระการตา
ผลงานศิลปะที่หลอมรวมความทรงจำส่วนตัวของศิลปินเข้ากับประวัติศาสตร์การเมืองของไทย กรีซ
และเยอรมันเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน กลมกลืน และนุ่มลึกชุดนี้ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในศิลปิน
เอเชียที่น่าจับตาที่สุดคนหนึ่งในมหกรรมศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างDocumenta ครั้งล่าสุดนี้
เนื่องจากความสัมพันธ์ของชาติตะวันตกกับไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา ถือได้ว่าฝรั่งเศสเป็น
ชาติเดียวที่มีข้อมูลในการเข้ามามีความสัมพันธ์กับไทยมากที่สุด หลักฐานและเอกสารปรากฏมากมาย หนึ่งในความสัมพันธ์ของฝรั่งเศสกับไทยก็มีศิลปวัตถุชิ้นสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้คนไทยได้รับรู้กันในงาน มงกุฎ (Mongkut) กระบวนการจำลองพระมหาพิชัยมงกุฎจำลองที่ได้กล่าวมาในข้างต้น เป็นการจำลองแบบของพระมหาพิชัยมงกุฎ ชิ้นที่อยู่ในฝรั่งเศส ซึ่งชิ้นดังกล่าวก็เป็นชิ้นที่
ถูกจำลองขึ้นมาก่อนหน้านั้นเสียด้วย ผลงานศิลปะที่มีการหยิบยืมศิลปวัตถุที่มีประวัติศาสตร์เช่นนี้ หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงประวัติศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำไปสู่การรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
หรืออาจนำไป สู่การเตือนสติผู้คนในยุคปัจจุบันจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น โดยผลงานมีการแสดง
ถึงศิลปวัตถุชิ้นงามอย่างพระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง และภาพวาดทางประวัติศาสตร์ในช่วงเหตุการณ์
ดังกล่าว ในการส่งเป็นเครื่องราชบรรณาการให้กับฝรั่งเศส ไม่เพียงแต่จะสะท้อนความเป็นไทยในช่วงเวลานั้น ยังได้สะท้อนประวัติศาสตร์ไทยร่วมกับอินเดียอีกด้วย เนื่องมาจากไทยเรารับเอารูปแบบของพระมหาพิชัยมงกุฎมาจากอินเดียในสมัยรัชกาลที่1 ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นแบบฉบับของตนเอง
การจำลองแบบโดยการทำซ้ำหรือทำขึ้นใหม่โดยมีรูปแบบเดิมอย่างพระมหาพิชัยมงกุฎ เสมือนการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างแดน และปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบฉบับของตนเอง จนอาจหลงลืมความเป็นจริง สนใจแต่สิ่งใหม่วัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ต่างชาติกล่าวว่าจะนำความเจริญมาให้กับประเทศไทย จริงอยู่ที่
เราล้าหลังกว่าชาติตะวันตกทางด้านอุตสาหกรรม เทคโนโลยีและอีกมากมายในสมัยนั้น แต่วิถีชีวิตที่
เรียบง่ายของคนไทย อาหารการกินวัฒนธรรมของเราเองนั้น จัดได้ว่ายังมิใช่ผู้เจริญแล้วอีกหรือ
ในเมื่อการรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นวัฒนธรรมของตนเอง หรือสิ่งที่สรรค์สร้างสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นยังไม่เพียงพอต่อการเป็นประเทศที่เจริญแล้วอีกหรือ การนำความเจริญเข้ามาในประเทศนั้น เป็นความเจริญทางด้านวัตถุนิยม หรือความเจริญทางจิตใจ การรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมากจนเกินพอดีหรือไม่ ที่ทำให้ปัจจุบันเราสูญเสียความเป็นไทยไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
จริงอยู่ที่สถานการณ์แต่ละยุคสมัยต่างกัน บ้างก็มีเหตุจำเป็น บ้างก็เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
บ้างก็หลงลืมกับชาวต่างชาติจนสูญเสียความเป็นตัวตนที่แท้จริงไป การเลือกเอาศิลปวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี มากล่าวถึงประวัติศาสตร์ในบางช่วงเวลานั้น ทำให้ไม่เพียงแต่ได้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ แต่ยังได้เกิดการคิด ศึกษา และหวนกลับมามองในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปัจจุบัน
และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ท่าทางการหมอบคลานที่สุภาพนอบน้อมของคนไทย ดูเหมือนจะทำให้ชาวตะวันตกดูหมิ่นดูแคลนเราไม่น้อย การนอบน้อมเช่นนั้นจนทำให้ชาติตะวันตกกล้าที่จะรุกรานไทยเรามากขึ้น หรือท่าทางที่นอบน้อมเช่นนี้ ที่ทำให้ชาติตะวันตกวางใจเรา และไม่คิดกับเราเป็นศัตรูในการสู้รบจนต้องเสีย
เลือดเนื้อ ท่าทางที่ไทยเรากระทำกับฝรั่งเศสอาจเป็นกลยุทธ์ในการเอาตัวรอดก็ว่าได้ ไม่ใช่การยอม
ตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาติอื่น ผลงานศิลปะชุดนี้ได้แสดงถึงการวางอำนาจและความเสมอภาคที่ไม่มีอยู่จริงผ่านผลงานอย่างชัดเจน จากท่าทางดังกล่าว จริงอยู่ในช่วงสมัยนั้นอาจมีการหมอบคลานเกิดขึ้น จากธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมก็ตามแต่ ยังส่งผลถึงคนในช่วงปัจจุบันอยู่มาก เนื่องจากคนไทยเติบโตมากับการมีชนชั้น เจ้าคนนายคนมาแต่โบราณ กาลเวลาเปลี่ยนไปการแบ่งชนชั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามรูปแบบใหม่ๆ ให้เข้ากับกฎหมายและสภาพสังคม จากชนชั้นสูง หรือทาส ยังพบเห็นได้ในปัจจุบันซึ่งแน่นอนว่าคนรวยบางคนมีคนรับใช้ และสิ่งที่เปลี่ยนไปคือผู้คนสามารถสร้างฐานะให้กับตนเองได้
จากเปลือกนอกหรือจากวัตถุที่ใช้ กล่าวได้ว่าคนในช่วงสมัยนี้มักวัดคุณค่าของคนจากวัตถุสิ่งของมากกว่าคุณงามความดี หรือบางทีการหยิบยืมวัตถุราคาแพงเพื่อแสดงความร่ำรวยของตนเอง
ยังแสดงถึงความเจริญตามชาติตะวันตก
จากชิ้นผลงานชุด มงกุฎ (Mongkut)เป็นการจำลองพระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง และผลงานชิ้นอื่นๆ
ภายในนิทรรศการ ซึ่งถ่ายทอดความงามทางประวัติศาสตร์ และสะท้อนแง่คิดต่างๆ มากมาย ไม่เพียงแต่ความเสมอภาคที่ไม่มีอยู่จริงเพียงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแง่มุมต่างๆจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ให้กับผู้ชมอีกด้วย อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า ผลงานศิลปะชุดนี้เป็นการจำลอง
พระมหาพิชัยมงกุฎขึ้น ซึ่งพระมหาพิชัยมงกุฎนี้ก็เป็นชิ้นที่ถูกจำลองขึ้นในอีกทอดหนึ่ง
ซึ่งในความเป็นจริงพระมหาพิชัยมงกุฎจำลองที่มีการจำลอง หรือการผลิตซ้ำเป็นผลงานศิลปะชุดนี้นั้น เป็นพระมหาพิชัยมงกุฎที่ได้มีการลอกเลียนแบบมาจากลอมพอก ซึ่งลอมพอกเป็นเครื่องสวมศีรษะ
แบบยอดยาวแหลม หรือยอดมน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวเปอร์เซีย(อิหร่าน) ในช่วงก่อนสมัยอยุธยา เป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์และราชวงชั้นสูง ซึ่งในระยะเวลาต่อมาถูกปรับเปลี่ยนใหม่เป็น
ชฎาและมงกุฎตามลำดับ
ซึ่งความแตกต่างกันของ "ชฎา" และ "มงกุฎ" ก็มีความหมายและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป "ชฎา"
คือเครื่องสวมศีรษะรูปทรงคล้ายมงกุฎโดยทั่วไปมียอดแหลม มีกรรเจียก (กระหนกข้างหู) ประดิษฐ์ขึ้นด้วยโลหะเช่นทองหรือเงินหรือวัสดุอื่นเช่นไม้เปเปอร์มาเช่หรือพลาสติกแล้วทาสีให้ดูเหมือนโลหะ
ผิวด้านนอกของชฎาจะตกแต่งอย่างสวยงาม โดยการแกะสลักประดับอัญมณีกระจกสีและพวงดอกไม้ ชฎาเกิดขึ้นช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ชฎาและมงกุฎมีความแตกต่างกัน คือชฎาจะมียอดปัดไปข้างหลังเหมือนลอมพอก ส่วนมงกุฎจะมียอดแหลมเป็นปลียอด ชฎามักใช้ในงานพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายชั้นสูงและใช้ในงานนาฏศิลป์วัฒนธรรมสมัยใหม่มีการใช้ชฎาเป็นเครื่องประดับศีรษะ แต่งตัวตามการแสดงหรือภาพยนตร์ "มงกุฎ" คือเครื่องสวมศีรษะที่เป็นสัญลักษณ์ที่สวมโดยพระมหากษัตริย์
หรือผู้นำทางศาสนา
ดังนั้นการหยิบยืมรูปทรงของลอมพอก ชฎา มงกุฎ หรือพระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง
ที่ศิลปินได้เลือกเป็นสัญลักษณ์ในการบอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยในอดีตผ่านงานศิลปะได้อย่าง
น่าสนใจ โดยเป็นการในสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย โดยตัว"มงกุฎ" เป็นเครื่องหมายของ
ความมีอำนาจทางการเมือง ความมีสิทธิ ความเป็นอมตะ ความชอบธรรมในการเป็นกษัตริย์ ชัยชนะ
การฟื้นฟู เกียรติยศ และความรุ่งโรจน์ของผู้สวมใส่ การรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมของไทย แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้มีการยอมรับวัฒนธรรมหรืออาระยะธรรมของต่างชาติ
มาเป็นระยะเวลานาน และปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นรูปแบบเฉพาะตัวอยู่เสมอๆ เป็นเช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมทางการทหารในสมัยก่อน หรือวัฒนธรรมการเมืองในปัจจุบันที่ข้าพเจ้าได้กล่าวในข้างต้น
ที่เรารับมาจากต่างชาติ และปรับเปลี่ยนใช้กับประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน
รูปแบบของการจัดนิทรรศการ"มงกุฎ"ถูกจัดในรูปแบบที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมกับสถานที่ ที่จัดขึ้นในหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ร่วมกันกับพระมหาพิชัยมงกุฎอีกด้วย เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของพระราชวังและเกี่ยวเนื่องกับรัชกาลที่3และ4อีกด้วย ตัวอาคารเองก็มีรูปแบบที่เป็นอาคารประยุกต์เก่าๆ ซึ่งทำให้ผลงานศิลปะ
ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นไทยอย่าง มงกุฎ ได้ติดตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ทำให้ช่วยเสริมในเรื่อง
ของความรู้สึกในการรับชมผลงานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย รวมทั้ง รูปแบบการจัดที่นำเสนอผลงานได้อย่างเรียบง่าย เป็นระเบียบ และสวยงามในการติดตั้ง ทำให้ถึงแม้ว่าผู้ชมจะไม่ทราบถึงประวัติศาสตร์ของ
พระมหาพิชัยมงกุฎมาก่อน ก็ยังได้สัมผัสถึงความงดงามของพระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง ที่สร้างขึ้นอีกครั้งในรูปแบบของผลงานศิลปะได้อีกรูปแบบหนึ่ง
การติดตั้งภาพร่างของพระมหาพิชัยมงกุฎจำลอง ที่ถูกสร้างให้เป็นรูปแบบของภาพพิมพ์เขียว
ซึ่งศิลปินเลือกติดตั้งผลงานชิ้นนี้ไว้กับพื้นของนิทรรศการ บนชั้น2 ซึ่งเป็นการติดตั้งที่ให้อารมณ์
ความรู้สึกของความเป็นงานศิลปะร่วมสมัย และยังสามารถสะท้อนแง่มุมของ"มงกุฎ"ในอีกหนึ่งแง่มุม
ซึ่งโดยปกติและ หากกล่าวถึงมงกุฎ ก็ทำให้นึกถึงสิ่งที่สูงค่า และอยู่เหนือศีรษะ มีคุณค่าทางวัฒนธรรม และมูลค่าอยู่แล้ว แต่การติดตั้งผลงานชิ้นนี้ ทำให้มีมุมมองการมองมงกุฎที่แตกต่างไปจากเดิม
โดยที่ภาพพิมพ์เขียวดังกล่าว ถูกวางบนพื้นของนิทรรศการ ทำให้คนที่จะต้องมองภาพมงกุฎใน
ภาพพิมพ์เขียวก็จำเป็นที่จะต้องก้มหน้ามองลงมายังพื้น ซึ่งในความรู้สึกถึงการเปลี่ยนบริบทของสิ่งของ
ที่สูงค่าและสัมผัสได้ยาก กลายเป็นสิ่งของที่สัมผัสได้ง่าย และยังอยู่ในระนาบเดียวกับรองเท้าของผู้เข้าชมนิทรรศการ การเปลี่ยนแปลงของพระมหาพิชัยมงกุฎราวกับการลดคุณค่าของสิ่งๆนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ชมที่ชมผลงานศิลปะชิ้นนี้ ก็ต้องก้มศีรษะลงเพื่อที่จะชมผลงานศิลปะชิ้นนี้เช่นกัน เสมือน
การทำความเคารพของชาติตะวันตก และหากผู้ชมต้องการจะมองรายละเอียดของภาพพิมพ์ดังกล่าว
ก็จำเป็นที่จะต้องโค้งตัวลง หรือหมอบคลานเข้าไปให้ใกล้ผลงานที่สุดเพื่อที่จะได้เห็นราบละเอียดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เสมือนกริยามารยาทของคนไทยในสมัยก่อนที่แสดงความเคารพ นอบน้อม หรือการแบ่งชนชั้น
ในสมัยก่อนระหว่าง พระมหากษัตริย์กับข้าราชบริพาน หรือบ่าวไพร่ นอกจากนี้ยังพบเห็นลักษณะ
ดังกล่าวได้จากการสะท้อนผ่านภาพวาดภายในนิทรรศการอีกด้วย

246247596248914102516... Andthentherewerenone
And then there were none (Tommorrow we will become thailand.)
ก็เป็นอีกหนึ่งนิทรรศการที่ศิลปินเลือกใช้สัณลักษณะทางการเมืองได้อย่างชัดเจนโดยผลงานศิลปะ
ชิ้นเอกของนิทรรศการนี้คือ ประติมากรรมที่จำลองจากรูปปั้นนูนต่ำบนฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ที่ถูกสร้างขึ้นโดยทองเหลืองและไม้ด้วยขนาดที่เท่าจริง ด้านที่ศิลปินเลือกในการนำมาสร้างเป็น
ผลงานประติมากรรมนั้น เป็นด้านที่สามารถมองเห็นท่าทาง เครื่องแต่งกายของทหารได้อย่างชัดเจน
เป็นท่าทางในการทำสงคราม หรือการตั้งรับ โดยทหารเหล่านั้นมีการแต่งกายที่แตกต่างกันไป
คล้ายกับทหารทั้ง3เหล่าและตำรวจอยู่ในประติมากรรมชิ้นนี้ แสดงถึงอำนาจทางการเมืองในสมัยก่อน ซึ่งถูกนำกลับมาเล่าใหม่ในบริบทของยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งก็ยังคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงแม้ผู้ชมจะไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์มาก่อน
นอกจากนี้การเปลี่ยนบริบทของหน้าที่ และสิ่งของโดยศิลปินก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง กับผลงานชุดนี้ โดยตัวประติมากรรมของจริงนั้นถูกสร้างโดยการปั้นและการหล่อปูน ซึ่งศิลปินก็ปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่
ให้มีความโดดเด่น และดูมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งให้ความรู้สึกที่น่าสนใจ ระหว่าอนุสาวรีย์ของจริง
กับของที่จำลอง ชิ้นใดมีคุณค่ามากกว่ากัน หรือแท้จริงแล้ว ศิลปินกำลังสร้างผลงานศิลปะชุดนี้ขึ้น
เพื่อสะท้อนพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าทางสังคม เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองการปกครองของ
คนไทยนั้นเอง เนื่องจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยการก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเริ่มขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2482และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2483
ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้ใช้เป็นพื้นที่สำคัญของการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง ซึ่งศิลปินได้สะท้อนเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ดังกล่าวผ่าน
ชื่อนิทรรศการไว้อย่างชัดเจน นั้นคือ
24 6 2475
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2475ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจาก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง
ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกัน
เรียกตนเองว่า "คณะราษฎร" โดยเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าวทำให้ประเทศสยาม
9 6 2489
9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อการเมืองไทยอย่างรุนแรง และนำไปสู่
การเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและการลด
บทบาททางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490โดยกลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงครามทุกวันนี้กรณีดังกล่าวยังคงมีการถกเถียงกันอยู่และได้รับความสนใจในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ แต่ไม่เป็นประเด็นสาธารณะเพราะกรณีดังกล่าวพาดพิง
ถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยโดยตรง
14 10 2516
เหตุการณ์ 14 ตุลา หรือ วันมหาวิปโยค เป็นเหตุการณ์การก่อการกำเริบโดยประชาชนครั้งสำคัญ
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นเหตุการณ์ที่มีนักศึกษาและประชาชนมากกว่า 5 แสนคนชุมนุม
เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจรนำไปสู่คำสั่งของรัฐบาลให้ใช้
กำลังทหารเข้าปราบปราม ระหว่างวันที่ 14 ถึง 15 ตุลาคม พ.ศ. 2516จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 77 ราย
บาดเจ็บ 857 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ได้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่สะสมก่อนหน้านี้หลายประการทั้ง ข่าวการทุจริตในรัฐบาล การพบซากสัตว์ป่าจากอุทยานในเฮลิคอปเตอร์ทหาร
การถ่ายโอนอำนาจของจอมพลถนอม กิตติขจรต่อจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารเข้าปกครองประเทศนานเกือบ 15 ปี และรวมถึงการรัฐประหารตัวเอง พ.ศ. 2514ซึ่งเป็นชนวนเหตุ
ที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการปกครองในระบอบเผด็จการทหารและต้องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่
เป็นประชาธิปไตยขึ้นนอกจากนี้เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นแบบอย่างให้กับอีกหลายๆประเทศ
ในการประท้วง หรือเรียกร้องสิทธิ์ของประชาชนในหลายๆประเทศตามมา
อย่างคำกล่าวที่ว่า And then there were none (Tommorrow we will become thailand.)
เมธาวี เทศนะ
Comments