ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรม
- maytakatess
- Jul 5, 2019
- 1 min read
Updated: Jul 6, 2019
บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานศิลปะเชิงสัมพันธ์ของ วิจิตร อภิชาตเกรียงไกร

ปัจจุบันงานศิลปะถูกปรับเปลี่ยน พัฒนาไปตามยุคสมัย แปลกใหม่และกว้างขวางไปจากเดิมมาก
ซึ่งในบางครั้งผู้ชมหรือศิลปิน ไม่สามารถให้ความหมายหรือนิยายผลงานศิลปะของตนว่าเป็นงาน
ศิลปะในรูปแบบใด ซึ่งการสื่อสารข้อความ ความหมายของผลงานศิลปะในยุคปัจจุบัน มีมุ่งมองที่
กว้างไปจากเดิม ผู้ชมมีรูปแบบหรือชุดความรู้ที่แตกต่างกันออกไป จึงเป็นเรื่องยากในการสื่อสารข้อมูลชุดนั้นๆให้กับผู้ชมได้รับรู้ตรงกัน ประสบการณ์ของผู้ชมแต่ละคนก็ล้วนมีผลกับการรับรู้งานศิลปะ
ทุกๆชิ้น และการที่จะทำให้ผู้ชมได้รับรู้ หรือสัมผัสถึงชุดข้อมูลของศิลปะอย่างชัดเจนที่สุด
คงหลีกหนีไม่พ้นการ ทำให้ผู้ชมเป็นส่วนหนึ่งกับผลงานศิลปะ หรือมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับผลงาน
อาจกล่าวถึง ศิลปะเชิงโต้ตอบ (Interactive Art)[1] ศิลปะเชิงสัมพันธ์หรือสุนทรียภาพเชิงสัมพันธ์ (Relational Aesthetics)[2] เป็นต้น
แน่นอนว่าการเสพรับงานเรียกร้องให้บุคคลที่สามเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย จะสัมพันธ์ตั้งแต่ตัวผลงาน ศิลปินจนกระทั่งบุคคลที่สามที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์นี้ และศิลปะโดยทั่วไปจะเกิดความคลุมเครือขึ้นว่า
รูปแบบใดคือศิลปะปฏิสัมพันธ์ และรูปแบบใดไม่ถูกนับว่าเป็นศิลปะปฏิสัมพันธ์ ดังนั้นจึงต้องมีการพยายามหาจุดรั้ง ให้เห็นถึงเค้าโครงรูปร่าง รูปทรงของผลงานในรูปแบบดังกล่าวขึ้น
(แม้จะไม่สามารถเห็นได้เป็นรูปธรรมชัดเจน) อาจทำได้โดยการสร้าง “วาทกรรม”
เป็นส่วนในการขยายเรื่องราวของผลงานที่หลบซ่อนอยู่ ซึ่งสร้างขึ้นโดยตัวศิลปินเองหรือจาก
ฝ่ายบุคคลผู้เข้าร่วม ผลงานไม่สามารถรวมเพียงร่างกายของผู้ชมเพียงเท่านั้นที่เข้าเป็นส่วนหนึ่ง กระบวนการนี้สามารถกำหนดบทบาท หน้าที่ของผู้ชมบุคคลที่สามได้ เพื่อตามหาความหมาย
บางสิ่งที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจการกระทำทางศิลปะนั้นๆ และเมื่อหาความหมายซึ่งเป็นรูปแบบ
“วาทกรรม” ในงานศิลปะพบ ชุดข้อมูลดังกล่าวจะทำให้เขารู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งโดยสมบูรณ์
ในกรณีเช่นนี้บุคคลที่สามอาจจะเกิดรู้สึกเข้าใจข้อมูลตรงหรือแตกต่างไปจากศิลปินได้ ตามประสบการณ์ส่วนบุคคล และรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมเมื่อค้นพบความหมายที่ทำให้เขารู้สึกได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผลงาน หากการกระทำเหล่านั้นเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ที่ไม่ใช่ที่แกลเลอรีหรือพื้นที่ในการจัดแสดงงานศิลปะ
แต่เป็นพื้นที่อื่นๆ อย่างบ้านของผู้ชม หรือในระหว่างการเดินทาง ชุดข้อมูลชุดนี้จะมีส่วนทำให้ผลงานมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงหรือไม่ ในพื้นที่บ้านของพวกเขาเองที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง อีกทั้งยังสะท้อนว่าผลงานปฏิสัมพันธ์ชุดนั้นเป็น“วาทกรรม” ในพื้นที่ของงานศิลปะซึ่งเปิดให้บุคคลที่สามมีส่วนร่วม
การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบที่ศิลปินสร้างวาทกรรมขึ้น โดยผู้ชมสามารถเข้ามามีส่วนร่วม
หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผลงานนั้น เป็นรูปแบบเดียวกับกับผลงานศิลปะของ วิจิตร อภิชาตเกรียงไกร
ศิลปินผู้สร้างงานศิลปะเป็นวาทกรรมหนึ่งในการแสดงความคิด และนำผู้ชมเข้ามาทำความรู้จักกับ
วาทกรรมชุดดังกล่าว ซึ่งผลงานศิลปะของวิจิตร ไม่ได้เป็นเพียงผลงานศิลปะเพียงเท่านั้น
ยังมีคุณประโยชน์มากมายที่แฝงอยู่ในผลงานศิลปะของเขา ซึ่งแน่นอนว่าศิลปิน มีการพัฒนารูปแบบ
การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะไปในรูปแบบต่างๆมากมาย ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจของ
วิจิตร อภิชาตเกรียงไกร ก็คือการหยิบยกสัญลักษณ์ หรือการเลือกสรรการรูปแบบในการนำเสนอ
ที่มีความพื้นบ้าน เครื่องมือหรือวัสดุที่สามารถพบเจอได้ทั่วไป หรือแม้แต่สิ่งของที่สื่อถึงเรื่องราวต่างๆ
ได้ในเชิงสัญลักษณ์ ทั้งหมดนี้ถูกส่งผ่านเป็นผลงานศิลปะของวิจิตร อภิชาตเกรียงไกร
ผลงานชุดนานิเวศสุนทรีย์
เป็นหนึ่งในวาทกรรมที่ศิลปินตั้งใจจะสื่อสารกับผู้ชมที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ทางศิลปะ
แน่นนอนว่าการวางรูปแบบโครงสร้างของผลงานศิลปะชุดนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า
ผลงานดังกล่าวเป็นผลงานศิลปะในรูปแบบของศิลปะกับพื้นที่ (Land Art) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนบริบท
ของพื้นที่ในการจัดแสดงผลงาน และระยะเวลาตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้นผลงาน ล้วนเกิดขึ้นที่พื้นที่ที่ไม่ใช้
แกลเลอรี่หรือหอศิลป์ แต่เป็นการใช้พื้นที่ให้มีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสาร ซึ่งพื้นที่แห่งนี้
จึงมีบทบาทที่สำคัญกับผลงานชุดนี้ นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานของศิลปะภูมิศิลป์ หรือ ธรณีศิลป์ (Ecology Art) ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างระบบนิเวศของธรรมชาติและภูมิทัศน์ของพื้นที่และงานศิลปะ เป็นความสัมพันธ์ที่ผสานกันอย่างแยกไม่ออก การจัดการพื้นที่ของศิลปินทำให้ภูมิทัศน์เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดงานศิลปะ อีกทั้งงานศิลปะของศิลปิน ยังมีความเกี่ยวโยงกับการมีส่วนร่วมของผู้คน
อย่างศิลปะปฏิสัมพันธ์ (Interactive Art) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการทำความเข้าใจกับวาทกรรมที่ศิลปินต้องการจะสื่อสาร เป็นหนทางหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในการรับสารจากศิลปินนั่นเอง ทั้งนี้รูปแบบผลงาน
ศิลปะของวิจิตร ยังเหมารวมในรูปแบบของ “สาธารณะศิลป์”ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางการทำงานศิลปะ
ที่ไม่ยึดติดอยู่กับการสร้างชิ้นงานศิลปะเป็นหลัก แต่มุ่งไปที่การสร้างกระบวนการทำงานร่วมกับระหว่างศิลปิน ชุมชน ผู้มีส่วนร่วม เพื่อผลักดันประเด็นทางสังคมบางอย่าง(วาทกรรมของศิลปิน) ทั้งนี้มีผลพวง
มาจากทฤษฎีที่เรียกว่า Dialogue Aesthetic หรือสุนทรียะสนทนา แนวคิดที่มองว่า การที่คนเรามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องที่เราสนใจ ก็สามารถเป็นสุนทรียะอย่างหนึ่ง เป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะได้
เช่นกัน ดังนั้นการรูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่องราวหรือการสะท้อนแง่มุมต่างๆของศิลปิน รวมทั้งการแก้ไข้ปัญญาของสังคมจาก
ผลงานศิลปะชุดนี้ จากการเรียนรู้วิถีชีวิตในนาข้าวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับ
สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรม
นานิเวศสุนทรีย์ เป็นนาที่ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศในนาพร้อมๆ กับเรื่องของสุนทรียะ เรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องวัฒนธรรมข้าวของคนไทย มีการไหว้แม่โพสพ ไหว้ข้าว ปลูกข้าวแบบมือดำ ทำนาแบบ
ใช้เท้าย่ำ มีคนมาช่วยลงแขก มีแม่เพลงมาร้องเพลงนา มีเพื่อนมากินข้าวด้วย เราอาจจะไม่ได้เอาวัฒนธรรมข้าวกลับมาให้ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราหาโอกาสเพื่อให้สิ่งที่เราอยากเห็นมันเกิดขึ้น
หากจะหาคำจำกัดความให้กับผลงานศิลปะที่มีการทดลองใช้ศิลปะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานาข้าว
โดยใช้กระบวนการทางศิลปะดึงผู้คนที่เกี่ยวข้องในวิถีการทำนา อาทิ ชาวนา ศิลปิน แม่เพลง นักศึกษา หรือกลุ่มผู้สนใจทั่วไป ให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม-พิธีกรรม และทำงานร่วมกัน เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตใน
นาข้าวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรม จากการ
สัมผัสรับรู้ผลงานที่เรียกร้องให้ผู้ชมมีส่วนร่วม จึงจะรับรู้และเห็นถึงปัญหาและหนทางในการแก้ปัญหา
ที่ศิลปินนำเสนอได้ นับว่าเป็นการสร้างวาทกรรมขึ้น โดยผ่านการหล่อหลอมทางระยะเวลา พฤติกรรม พิธีการที่เคยเกิดขึ้นจริง กลับมามีบทบาทอีกครั้งในผลงาน ซึ่งให้มีความหมายที่สามารถจับต้องได้
จากการมีส่วนร่วมของผู้ชมและบุคคลต่างๆ อีกทั้งยังสร้างคุณค่า ความสูงส่งให้แก่ผลงานดังกล่าวอีกด้วย เป็นเครื่องยืนยันสถานะของการกระทำที่จำเป็นให้ผู้ชมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งนั้นได้อย่างบริสุทธิ์
โดยไม่ใช่การกระทำที่ธรรมดาสามัญ หากเป็นการกระทำที่เรียกว่าศิลปะ
ดังนั้นรูปแบบการเสพรับงานที่เรียกร้องให้ผู้ชมต่างเข้าไปมีส่วนร่วมนี้ ส่งผลให้วาทกรรมของ
ศิลปินรับหน้าที่เป็นตัวกำหนดทิศทาง ของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ชมผลงานทั้งหลาย สุนทรียศาสตร์เชิงปฏิสัมพันธ์จึงย้ายความหมายของผลงานไปติดอยู่กับวาทกรรมของการมีส่วนร่วมแทน
ทั้งนี้วาทกรรมจึงอยู่ในสถานะที่จะกำหนดว่าการรับชุดข้อมูลนั้นมีประสิทธิผลหรือไม่ หรือมีวิธีการอย่างไรเพื่อจะเกิดผลสำเร็จนั้นๆ จากการมีส่วนร่วมของผู้ชม รวมทั้งการสัมผัสรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไป
ตามระบบนิเทศของธรรมชาติที่เกิดขึ้น วาทกรรมจึงเสมือนเป็นชุดคำพูดของศิลปิน บอกจุดประสงค์
ที่ต้องการให้ผลงานดึงดูด และร่วมสร้างบุคคลที่สามหรือผู้ชมทำตามทิศทางของศิลปินเพื่อให้สำเร็จ
ตามขึ้นตอน และกิจกรรมก็จะได้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ พร้อมทั้งเห็นผลที่เป็นรูปธรรม
ดังนั้นผลงานชุดนี้ ผู้ชมและผู้เข้าร่วมต่างโหยหา วาทกรรมของศิลปิน ที่ซ้อนอยู่ในภูมิทัศของธรรมชาติอย่างทุ่งนา เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่ง เข้าไปร่วมอยู่ในพื้นที่ของผลงานศิลปะ ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ หรือที่เรียกว่า “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรม”
เมธาวี เทศนะ
อ้างอิง
[1]ศิลปะเชิงโต้ตอบ เป็นรูปแบบของศิลปะที่เกี่ยวข้องกับผู้ชมในลักษณะที่ทำให้ศิลปะสามารถ
บรรลุวัตถุประสงค์ได้ การติดตั้งงานศิลปะเชิงโต้ตอบบางอย่างทำได้โดยการปล่อยให้ผู้สังเกตหรือ
ผู้เยี่ยมชม "เดิน" อยู่ในและรอบตัวพวกเขา บางคนถามว่าศิลปินหรือผู้ชมจะกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของงานศิลปะ
[2]ศิลปะเชิงสัมพันธ์หรือสุนทรียภาพเชิงสัมพันธ์ เป็นรูปแบบหรือแนวโน้มในการปฏิบัติงานด้านศิลปะ
ที่นักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศส Nicolas Bourriaud สังเกตเห็นและเน้น "ชุดของการปฏิบัติทางศิลปะ
ที่ใช้เป็นจุดทฤษฎีและปฏิบัติของพวกเขาจากการเดินทางทั้งหมดของความสัมพันธ์ของมนุษย์
และบริบททางสังคมของพวกเขามากกว่าพื้นที่ที่เป็นอิสระและเป็นส่วนตัว
Comments