ศาสนา และระบบสัญลักษณ์
- maytakatess
- Jul 5, 2019
- 3 min read
Updated: Jul 6, 2019
บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับศาสนา และระบบสัญลักษณ์
ผ่านผลงานศิลปะของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ

ภายหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ได้เกิดความขัดแย้งที่เกิดจากการตีความพระธรรมคำสอนและพระวินัยไม่ตรงกันขึ้น จึงมีการแก้ไข
โดยมีการจัดทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ถูกต้องไว้ เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนสากลต่อไป จึงนำไปสู่การทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นอีกครั้ง ในการทำสังคายนาพระไตรปิฎก
ครั้งที่ 2 นั้น พระพุทธศาสนาได้แตกออกเป็นหลายนิกายกว่า 20 นิกาย ต่อมามีการทำ
สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3ขึ้นอีก ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้ง
สมณทูต 9 สายออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาตามที่ต่างๆ จนกระทั่งพุทธศาสนาแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง
นิกายในศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ๆได้ 2 นิกายคือ เถรวาท[1] และมหายาน[2] นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไป คือการแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจาก นิกายวัชรยาน[3] ไม่ยอมรับว่าตนคือนิกายมหายาน เนื่องจากนิกายมหายานมีต้นเค้ามาจากท่านโพธิธรรม (ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
ส่วนนิกายวชิรยานมีต้นเค้ามาจากท่านคุรุปัทสัมภวะ แต่อย่างไรก็ตามนิกายต่างๆก็ยังคงมีหลักธรรม
คำสอน และหลักปฏิบัติที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนเป็นคนดี ทำในสิ่งดี และหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาเช่นกัน
สำหรับผู้เขียนเองหลักธรรม คำสั่งสอนในศาสนาทุกๆศาสนา มักมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเป็นส่วนมาก
จะแตกต่างกันตรงวิธีการทางศาสนา สิ่งเคารพบูชา หรือสัญลักษณ์ในแต่ละศาสนาเพียงเท่านั้น
ซึ่งแนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักมานุษยวิทยาท่านหนึ่ง ชื่อว่า คลิฟฟอร์ด เกิร์ตซ์ ผู้สนใจศึกษาความหมายของสัญลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม มีแนวคิดที่ว่า “ศาสนาคือ ระบบของสัญลักษณ์”
โดยแนวคิดนี้เกิดจากการสังเกตการณ์ และการมีส่วนร่วมในศาสนาเช่นพุทธ คริสต์ เป็นต้น จึงให้ความสำคัญกับพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อที่แนบเนืองไปกับวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ และนอกจากนี้
ผู้เขียนเห็นว่า แนวคิดนี้ ได้รวมถึงอิทธิพลที่ศาสนานั้นๆมีต่อการตีความค่านิยม ที่จะสามารถสร้าง
แรงจูงใจ และอารมณ์ความรู้สึกที่ทรงพลัง หรือที่เรียกว่าแรงศรัทรา มีอำนาจโน้มน้าวจิตใจ สามารถเข้า
สู่รากลึกในจิตใจมนุษย์ได้เป็นเวลานาน โดยผ่านกระบวนการในการสร้างสิ่งเร้าขึ้น สร้างภาพ
หรือเรื่องเล่าที่เป็นมโนทัศน์ต่างๆ ในการอธิบายระเบียบแบบแผนในการเกิดขึ้น ของสรรพสิ่งที่มี
อยู่ในหลักศาสนาต่างๆ โดยถูกปกคลุมด้วยข้อเท็จจริงบางประการ ทำให้ผู้คนเกิดอารมณ์
และแรงจูงใจที่ดูเป็นความจริงและสามารถเข้าถึงแก่นแท้นั้นๆได้
ศาสนา หรือลัทธิต่างๆ มักมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น โอม[4] สัญลักษณ์ของพระพรหม
ในศาสนาฮินดู เมโนราห์[5] หรือคันประทีปที่มีก้าน7ก้าน เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว ธรรมจักร[6] สัญลักษณ์ในพุทธศาสนา เป็นต้น สัญลักษณ์สำหรับผู้เขียนนั้น รวมไปถึงรูปแบบในการประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา การประพฤติปฏิบัติในหลักคำสอนของศาสนานั้นๆอีกด้วย เช่น การกราบไหว้
การล้างบาป การโพกผ้าคลุมให้มิดชิด การทำทาน การนั่งสมาธิล้วนแล้วแต่เป็นรูปแบบหรือสัญลักษณ์ของศาสนาทั้งสิ้น เช่นเดียวกับการจัดสวนของชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และเป็นหนึ่งในรูปแบบของการปฏิบัติในพุทธศาสนา นิกายเซน[7] ซึ่งผู้เขียนมองว่า พุทธศาสนา
นิกายเซนที่กล่าวมานี้ มีความเป็นสัญลักษณ์ในศาสนาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่รูปแบบ
การประพฤติตนเท่านั้น แต่ยังมีการปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสนาที่ชัดเจน อาทิเช่น การจัดสวน[8]
การเรียงหิน[9] การชงชา[10] การวาดภาพเป็นต้น ซึ่งสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนหมายถึงนี้ คือสัญลักษณ์
ในทางประพฤติปฏิบัติ และรวมทั้งสัญลักษณ์ในแบบของศิลปะภาพวาด หรืออื่นๆที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งนำไปสู่การเข้าถึงแก่นของศาสนาได้โดยความเชื่อของผู้ปฏิบัติ

พุทธศาสนานิกายเซ็น เป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งที่พัฒนาขึ้นในดินแดนจีน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 และ 8 โดยการผสมผสานแนวคิด ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจากอินเดีย
และปรัชญาเต๋าในจีนต่อมาพุทธศาสนานิกายนี้ได้พัฒนาออกไปในหลายๆสำนัก แต่ยังมีแนวคิดหลักร่วมกัน คือเป็นพุทธศาสนาที่เน้นการปฏิบัติสมาธิ ฝึกจิตในการลดอัตราของตนเองลง เพื่อเข้าใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ศาสนาก็คล้ายคลึงกับระบบสัญลักษณ์ ดังนั้นศิลปะซึ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับศาสนา จึงถูกใช้ในการเป็นตัวกลางของสัญลักษณ์ในศาสนา ที่ไม่ใช่เพียงขอบเขตของวัด หรือสถานปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่สัญลักษณ์ในศาสนารูปแบบนี้ ได้ออกมาสู่พื้นที่ทางศิลปะอีกด้วย ดังเช่นงานศิลปะของพุทธศาสนานิกายเซน ที่มีการปฏิบัติในหลากหลายรูปแบบที่น่าสนใจ และเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากศาสนาหรือนิกายอื่นๆอยู่มาก นอกจากการจัดสวน
การเรียงหิน การชงชา ที่กล่าวว่าเป็นการเข้าถึงวิถีชีวิต และหลักปรัชญาในแบบเซน นิกายเซนยังมีการฝึกตนโดยผ่านรูปแบบของผลงานศิลปะเซน ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์อีกด้วย พวกเซนมีสัญลักษณ์ที่มักนิยมใช้วาดกันอยู่บ้าง แต่ละสัญลักษณ์จะมีความหมายที่แฝงไปด้วยพลังแห่งปรัชญา “ศิลปะ เซน”
ก็คือศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ประสบการณ์ หรือเรื่องราวบางอย่างที่อิงอาศัย เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับนิกายเซน โดยมากแล้วมักจะไม่ได้สร้างขึ้นด้วยฝีมือของศิลปินอาชีพ แต่เป็นพระ นักบวช
หรือผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในปรัชญาคำสอนของนิกายนี้ จนในที่สุดการวาดภาพกลายเป็นการปฏิบัติประจำวัน เพื่อโน้มนำจิตใจให้สงบมีสมาธิ
หนึ่งในศิลปินที่ผู้เขียนสนใจ และพบว่าได้นำเอาระบบสัญลักษณ์ทางศาสนา มาสร้างสรรค์เป็น
ผลงานศิลปะในรูปแบบที่มีแนวคิดเดียวกับนิกายเซน คือ คามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินผู้มีชื่อเสียง
ในระดับนานาชาติ ในระยะเวลาเกือบทั้งชีวิตของศิลปินเอง เขาได้ใช้ผลงานศิลปะเป็นเครื่องมือ
ในการแสวงหาคำตอบให้กับตัวเอง ในเรื่องของคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความสุขในชีวิตคืออะไร?
ประกอบกับศิลปินมีความสนใจในเรื่องของพุทธศาสนา เซน พิธีชงชาในเวลาต่อมา จึงทำให้เขาหันมาสนใจในการนำเอาสัญลักษณ์ในทางศาสนา มาใช้กับงานศิลปะของเขาในช่วง 6-7 ปีมานี้
ผลงานชิ้นแรกในการหยิบยกสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา นิกายเซนมาใช้ คือรูปทรงของวงกลม
โดยศิลปินจะนั่งสงบสำรวมให้เกิดสมาธิ ก่อนจะตวัดพู่กันลงบนผ้าใบขนาดใหญ่ ในระยะเวลาที่สั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงเกิดเป็นผลงานศิลปะรูปวงกลมสีดำ เป็นลายเส้นของสี ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1เมตรโดยประมาณ ตรงด้านบนของรูปวงกลมมีเส้นเล็กๆ ที่เกิดจากการไหลของสีที่รวมตัวกันมาก
ไหลลงสู่พื้นขนาดประมาณ7เซนติเมตร ผลงานชิ้นนี้สะท้อนถึงคุณภาพทางจิตและสมาธิของผู้วาด
ได้เป็น อย่างดี และยังเห็นถึงปรัชญาแบบเซน โดยศิลปินชี้ว่า
“วงกลม เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะพูดถึงสัจจะของแก่นสารอะไรบางอย่าง ล้วนเกิดขึ้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนที่จะเข้าใจ”[11]
แน่นอนว่าการจะทำความเข้าใจ ในวิถีของพุทธศาสนานิกายเซนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีทั้งการทำความเข้าใจ ซึมซับ ปฏิบัติ และประสบการณ์ร่วม ผู้เขียนจึงมีทัศนะคติต่อผลงานศิลปะของ
คามิน เลิศชัยประเสริฐ ในมุมมองที่พยายามทำความเข้าใจกับรูปแบบนี้ โดยผ่านภาพจิตรกรรม
วงกลมของศิลปิน ผลงานรูปวงกลมบนผืนผ้าใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ1เมตร
ที่ศิลปินตวัดพู่กัน ซึ่งตามแนวคิดของนิกายเซนนั้น เรียกว่ารูปวงกลมเอ็นโซ (ensō) วงกลมที่ศิลปิน
วาด กล่าวกันว่า เป็นตัวแทนของจักรวาล มีความหมายครอบคลุมโลกและทุกๆสรรพสิ่ง รวมทั้งมีความงามที่เป็น “ความรู้สึกเชิงสุนทรียภาพ” (aesthetic sensitivity) หรือที่เรียกเป็นคำภาษาญี่ปุ่นว่า “วะบิ”[12](Wabi) และ “ซะบิ”[13](Sabi) แต่สำหรับผู้เขียนมองว่า วงกลมเป็นหนึ่งในรูปแบบของเรขาคณิต ซึ่งเป็นรูปทรงตั้งต้นของวัตถุ และธรรมชาติ นั้นอาจหมายถึงรูปทรงของวงกลมที่อยู่ในรูปทรงส่วนมากของสรรพสิ่งบนโลก และการวาดวงกลมขึ้นมา1วง ให้มีลักษณะที่กลมโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
ที่เท่ากันในทุกๆองศา เป็นสิ่งที่ทำได้ยากจึงจำเป็นต้องใช้สมาธิในการวาด ถือเป็นหนึ่งในการฝึกสมาธิของเซน วงกลมจะเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ได้นั้น จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจะต้องบรรจบกันพอดี
ซึ่งหมายถึงจุดตัดกันจุดนั้นคือตัวตนของเราเอง เป็นทั้งผู้เริ่มและผู้จบ กล่าวคือ เราสามารถเลือกที่จะทำ หรือไม่ทำ ในสิ่งใดก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เราเป็นผู้ตัดสินใจ การวาดวงกลม จะเริ่มจากทางซ้ายไปขวาจนมาบรรจบกัน หรือจะเริ่มจากขวาไปซ้าย สุดท้ายแล้วก็รวมกันเป็นวงกลมได้อย่างเดิม หมายถึงการกระทำของเรา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำดี หรือไม่ดี สุดท้ายแล้วเราเองที่เป็นคนตัดสินใจ ส่วนการตวัดพู่กันในระยะเวลาที่ฉับพลันจนเกิดเป็นรูปวงกลม
ผู้เขียนคิดว่า เป็นการบอกถึงวิถีชีวิตของคนทุกๆคน เมื่อได้ทำอะไรไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะกลับมา
แก้ไขอดีตได้อีก ดังนั้นวงกลมนี้จึงเป็นการสอนให้คนเรามีสติในการใช้ชีวิตในทุกๆขณะ
และควรมีสมาธิไปพร้อมๆกัน และในส่วนที่เป็นการไหลของสีดำ ที่ไหลลงสู่พื้นขนาดความยาวประมาณ7เซนติเมตร ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศิลปินได้ตวัดวาดรูปวงกลมจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงมีการไหลของสีขึ้น ทำให้ผู้เขียนนึกถึงหลักของปรัชญาเซนที่ต้องการศึกษาธรรมชาติกับมนุษย์ ดังนั้นการไหลของสี
ก็คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นหลังจากที่ศิลปินเลือกที่จะหยุดนิ่งและมองมาที่ผลงาน จากนั้นธรรมชาติก็ได้สร้างสรรค์ต่อจากเขา มีแง่คิดที่ว่า ทำไมศิลปินถึงไม่เลือกที่จะหยุดการไหลของสีที่ธรรมชาติสร้าง
ในขณะนั้น อาจเป็นเพราะศิลปินเลือกที่จะปล่อยให้ธรรมชาติสร้างสรรค์ต่อจากเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศิลปินได้หลุดพ้นจากรูปทรงของความสวยงามที่เป็นมาตรฐานของเรขาคณิตและซึมซับกับ
ความไม่สมบูรณ์แบบ และยังทำให้รู้ได้อีกว่า ในขณะที่มนุษย์เรา หรือศิลปินเลือกที่จะหยุดนิ่ง
แต่ธรรมชาติกลับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
นอกจากวงกลมในนิกายเซนของศาสนาพุทธ ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความเป็นระบบสัญลักษณ์ในศาสนาแล้วนั้น ธรรมจักร[14] ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งซึ่งมีรูปแบบที่เป็นรูปธรรมและเป็นสากลพอสมควร
ธรรมจักร หรือเรียกอีกชื่อว่า วงล้อแห่งชีวิต (Wheel of life, Wheel of Dhamma) ในศาสนาพุทธ
และฮินดู ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แทนวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสิ่งบนโลก
รวมถึงการวนเวียนของการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพุทธองค์เนื่องจากลักษณะของธรรมจักรดั้งเดิมมีสองรูปแบบ คือมี หกซี่ บางครั้งห้าซี่ และรูปแบบที่เป็นสากลได้กำเนิดในพุทธศาสนาคือ แปดซี่ กงล้อธรรมจักรนั้นมีองค์ประกอบหลักๆ 3 ส่วน ได้แก่ แกนล้อ วงล้อรอบนอก และกำ
ซึ่งแต่ละส่วนล้วนมีความหมายที่ต่างกันออกไป

“วงล้อรอบนอก” แทนความสมบูรณ์แห่งพระธรรม “แกนกลาง”แทนคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นแก่นของการฝึกเพื่อบรรลุนิพพานและ“กำ” (ซี่ล้อ) 8 ซี่ เป็นตัวแทนของอริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8
ซึ่งได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ),สัมมาสังกัปปะ (การดำริชอบ), สัมมาวาจา(การเจรจาชอบ),
สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ),สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ), สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ), สัมมาสติ (การระลึกชอบ) และ สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจชอบ) ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลักในการยึดถือ
และปฏิบัติตามโดยเป็นหลักขั้นพื้นฐานซึ่งถูกรวมอยู่ในมรรค8 ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านึกถึง
การเลือกใช้หลักคำสอน มรรค 8ในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่ค่อนข้างจะชัดเจน
และครอบคลุมที่สุด รวมเข้ากับระบบของสัญลักษณ์ในทางศาสนาที่หยิบยกขึ้นมาใช้นั้นมีความสอดคล้องกัน เช่นว่า “วงล้อรอบนอก”นอกจากจะแทนความสมบูรณ์แห่งพระธรรมยังแทนถึงศาสนาพุทธซึ่งผู้ที่ปฏิบัติและเคารพในศาสนา ล้วนอยู่ในวงล้อแห่งนี้ทั้งสิ้น“แกนกลาง”แทนคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นแก่นของการฝึกเพื่อบรรลุนิพพาน และข้าพเจ้าเองจะแทนบุคคลผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมนั้นๆ
หรือแทนตนเอง และสุดท้ายคือ“กำ” (ซี่ล้อ) 8 ซี่ แทนหลักธรรมที่ครอบคลุมและปฏิบัติได้กับทุกเพศ
ทุกฐานะ อย่างมรรคมีองค์ 8แต่อย่างไรก็ตามการหยิบยกเอาธรรมจักรขึ้นเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาเช่นนี้ ล้วนมีการปรับเปลี่ยนไปตามเห็นสมควรของแต่ละความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น
จำนวนกำของธรรมจักรที่มากกว่า 8 ซี่ จะมีความหมายอื่นในทางพระพุทธศาสนาที่ต่างออกไป
ถ้ามี 12 ซี่ หมายถึง ปัจจยาการ หรือปฏิจจสมุปบาท 12 หรือมี 24ซี่ หมายถึง ปัจจยาการทั้งด้านเกิด
12 และด้านดับ12 และหากมีถึง 31 ซี่ หมายถึง ภูมิ 31(กามภูมิ 11 รูปภูมิ 16 และอรูปภูมิ4)
แน่นอนว่าธรรมจักรในทางศาสนาพุทธนั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แต่มีรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนได้
ซึ่งเป็นเพียงสัญลักษณ์ในทางศาสนาเท่านั้น หรืออาจพูดได้อีกอย่างว่าเป็นเพียงการหยิบยกสัญลักษณ์ขึ้น เพื่อเป็นรูปแบบทางศาสนา แต่ไม่ได้เข้าร่วมในการปฏิบัติตน หรือฝึกฝนตามหลักคำสอนแต่อย่างใด ทำให้วงกลมของความเป็นธรรมจักรในศาสนาพุทธ แตกต่างจากวงกลมของศาสนาพุทธ นิกายเซนอย่างชัดเจน เนื่องจากวงกลมของนิกายเซน มีความเป็นรูปธรรมมากกว่าในด้านการปฏิบัติ ยึดถือ
ซึ่งสามารถเข้าใจหรือสัมผัสถึงสมาธิได้ชัดเจนกว่า เพราะเกิดจากการวาดวงกลมขึ้นซึ่งเป็น
การปฏิบัติจริง ส่วนวงกลมธรรมจักรมีความเป็นสัญลักษณ์มากกว่าวงกลมของนิกายเซน
เนื่องจากเป็นการสัมผัสทางการมองเท่านั้น เป็นรูปธรรมทางกายภาพ
อย่างไรก็ตามการหยิบยกเอาสัญลักษณ์ขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาก็ยังเป็นที่นิยมในทุกๆศาสนาเช่นเดิม
ระบบสัญลักษณ์ในศาสนาที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยในกลุ่มของสัญลักษณ์ในศาสนาที่นิยมใช้กัน เนื่องจากข้าพเจ้าเห็นว่า วงกลม เป็นรูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้เป็นสัญลักษณ์ในหลายสาขา
อาทิเช่น วงกลมในทางคณิตศาสตร์ เป็นรูปเรขาคณิตบนระนาบซึ่งทุกๆ จุดบนรูปเรขาคณิตนี้อยู่ห่างจากจุดคงที่จุดหนึ่งบนระนาบเดียวกัน เป็นระยะเท่ากันเรียกจุดคงที่นี้ว่า จุดศูนย์กลาง ซึ่งการมีจุดศูนย์กลางของวงกลมมีความพิเศษกว่าเรขาคณิตรูปทรงอื่น รวมทั้งจะเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งในรัศมีวงกลม
ก็ยังสามารถคำนวณค่าได้เท่ากันทุกๆจุด การไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุดของวงกลม เป็นการเชื่อมต่อความคิด ทำให้รู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ และครบถ้วน ในขณะเดียวกันก็ทำให้นึกถึงสัญลักษณ์หยินหยาง
ซึ่งเป็นการแบ่งขาว-ดำ สูง-ต่ำ ดี-เลว เป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเทียบ 2 สิ่งที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
และรวมกันไว้ในรูปแบบวงกลมหยินหยาง ซึ่งจะให้หยิบยกความเชื่อ สัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้วงกลมเป็นสื่อคงกล่าวถึงไม่รู้จบแน่ ข้าพเจ้าถึงเลือกที่จะเปรียบเทียบระบบสัญลักษณ์ในทางศาสนา(พุทธ)
เป็นตัวอย่าง จากผลงานศิลปะที่มีกลิ่นอายของศาสนา โดยใช้การหยิบยกสัญลักษณ์ของศิลปิน
มาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่ยังสอดแทรกแนวคิด หลักปรัชญาแบบเซนอยู่ในผลงาน ซึ่งเป็นงานที่มีความน่าสนใจอย่างมาก โดยที่ไม่ใช่การนำเอาสัญลักษณ์เฉพาะตัวในทางศาสนามาใช้อย่างโจ่งแจ้ง
แต่เป็นการคัดสรรและพลิกแพลงใหม่ให้มีความเป็นงานศิลปะมากกว่างานทางศาสนา
และยังมองเห็นความเป็นคำสอนของศาสนาอยู่ในภาพวาดนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผลงานของ
คามิน เลิศชัยประเสริฐ ก็ยังคงสอดแทรกความรู้ แง่คิดในแบบฉบับของพุทธศาสนานิกายเซน
ที่เป็นรูปแบบของสัญลักษณ์ผ่านผลงานศิลปะที่ต้องการจะให้ผู้ชมได้เข้าใจ และตระหนักถึง
การใช้ชีวิตและเห็นคุณค่า จากการตั้งคำถามของศิลปิน
เมธาวี เทศนะ
อ้างอิง
[1]เถรวาท (หรือ 'หินยาน' แปลว่า ยานเล็ก) หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสั่งสอน
และ หลักปฏิบัติ จะเป็นไปตามพระไตรปิฎก นับถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย,
ศรีลังกา, พม่า, ลาว และกัมพูชา ส่วนที่นับถือเป็นส่วนน้อยพบทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม
(โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อสายเขมร), บังกลาเทศ (ในกลุ่มชนเผ่าจักมา และคนในสกุลพารัว)
และทางตอนบนของมาเลเซีย (ในหมู่ผู้มีเชื้อสายไทย)และยังมีนิกายที่แยกย่อยไปอีกหลายนิกาย
อาทิเช่น นิกายโคกุลิกะ ธรรมคุปต์ มหาสังฆิกะ วาตสีปุตรียะ วิภัชชวาท เหมวันตวาท อันธกวาท
อุตรปถวาท เป็นต้น
[2]มหายาน(ยานใหญ่) หรือ อาจาริยวาท แพร่หลายในสาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ พบเป็นประชาชนส่วนน้อยในประเทศเนปาล
(ซึ่งอาจพบว่านับถือร่วมกับศาสนาอื่นด้วย) ทั้งยังพบในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย,บรูไน
และฟิลิปปินส์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน มีนิกายแยกย่อยคือ นิกายเกลุก นิกายกาจู นิกายจิตอมตวาท นิกายซันเฉีย เซน ญิงมา เทียนไถ นิกายวินัย นิชิเร็ง นิชิเร็งชู นิชิเร็งโชชู มัธยมกะ โยคาจาร
วัชรยาน สมาคมธรรมประทีป นิกายสักยะ นิกายสุขาวดี หัวเหยียน
[3]วัชรยาน หรือ มหายานพิเศษ พบมากในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน, ประเทศภูฏาน,
มองโกเลีย และสาธารณรัฐคัลมืยคียาในรัสเซีย และเป็นประชากรส่วนน้อยในดินแดนลาดัก
รัฐชัมมูและกัษมีร์ ประเทศอินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน (ในเขตบัลติสถาน)
[4]อักขระ โอมเกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้
อะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระศิวะ (อะ) อุ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระวิษณุ (อุ)
มะ - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระพรหมมะ (มะ) โอม เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถีง
ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
[5] เชิงเทียน 7 กิ่งหมายถึง วันของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ถึง 7 วัน แห่งการสร้างโลก
บางแห่งในพระคัมภีร์ แปลว่า “เชิงตะเกียง”
[6]วงล้อแห่งชีวิต (อังกฤษ: Wheel of life) หรือ ธรรมจักร (อังกฤษ: Dharmachakra ; Wheel of Dhamma) ในศาสนาพุทธและฮินดูเป็นสัญลักษณ์แทนวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด หรือวงเวียนแห่งการ ประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธองค์ ลักษณะของธรรมจักรดั้งเดิมมีสองรูปแบบ คือมี หกซี่
หรือบางครั้งห้าซี่ และรูปแบบที่กำเนิดในพุทธศาสนาคือ แปดซี่ สอดคล้องกับ มรรคแปดหรือรูปพระหัถต์
[7]เซน มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดียพัฒนาที่ประเทศจีนก่อนที่จะถูกเผยแพร่มาสู่เกาหลีและเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าในช่วงระหว่างที่เผยแผ่มาสู่ญี่ปุ่น
การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การนั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้ง เกิดช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20เซนยังได้เป็นปรัชญาในการดำรงชีวิต และรู้จักกันทั่วโลก โดยแสดงถึงแนวทางการใช้ชีวิต การทำงาน และศิลปะ
และมรรค 8เซน ได้รับการยอมรับจากบุคคลที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลนอกทวีปเอเชีย ที่สนใจในเซนสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ และได้เกิดนิกายสายย่อยออกมา
ที่เรียกว่าคริสเตียนเซน
[8]การจัดสวนแบบเซน เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “สวนแห้ง” หรือ “สวนหิน” มักมีแนวคิดในการยึดมั่นซึ่งสงบสันโดษ เป็นสวนแบบจินตนาการ หรือการสมมุติ ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาเชิงนามธรรม จึงเน้นความเรียบง่าย สงบ มากกว่าแบบอื่น เน้นการตีความจากสิ่งที่มองเห็นและสัมผัส สวนญี่ปุ่นจะเกิดปฏิสัมพันธ์กับแทบทุกประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยสื่อผ่าน สี รูปทรง เส้นสาย ผิวสัมผัสของหิน ทราย ก้อนกรวด
ไปจนถึงกลิ่นสัมผัสต้นสนและเกสรดอกไม้อันอ่อนละมุน
[9]การเรียงหินแบบเซนประติมากรรมหิน หรือ อาจเป็นการฝึกสมาธิ หรือ เรียนรู้พุทธศิลป์ นอกจากนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยความเชื่อเรื่องหิน หรือการบูชาหินหรือศาสนาผี มาตั้งเเต่บรรพบุรษทั้งไทย
เเละต่างประเทศ
[10]พิธีชงชา ญี่ปุ่นไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงออกถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติ
แต่ในพิธีนี้จะให้ความสำคัญกับหลักปรัชญาพื้นฐานทั้ง 4 ได้แก่ ความกลมกลืนกับธรรมชาติ
ความเคารพกันและกัน ความบริสุทธิ์ และความสงบ อันเป็นปรัชญาสำคัญของพุทธศาสนานิกายเซน
[11]สัมภาษณ์ศิลปิน คามิน เลิศชัยประเสริฐ วันที่ 29เมษยน 2560
[12]“วะ บิ” (wabi) ตามความหมายของคำหมายถึง การบูชาความยากจน ความยากไร้ ขาดแคลน
ไม่สมบูรณ์ ความล้าสมัย การหลีกลี้หรือไม่อยู่ในสังคมที่ทันสมัยในช่วงเวลานั้นๆ ความสันโดษ
มักน้อย การมีชีวิตที่เรียบง่าย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
[13]“ซะบิ” (sabi) ตามความหมายของคำหมายถึง ความโดดเดี่ยว ความวิเวก ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความเงียบงัน สงบนิ่ง นอกจากงานจิตรกรรมแล้ว“ซะบิ” ยังถือเป็นหลักการสำคัญหนึ่งในสี่ข้อของศิลปะการปรุงน้ำชา หรือที่เรียกว่า“ชาโนะยุ”
[14]ธรรมจักรหรือกงล้อแห่งธรรม (Wheel of Dharma)แทนความหมายของการแสดงธรรมเทศนา
ของพระพุทธเจ้าโดยหลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงหมุนกงล้อแห่งธรรมทั้งสิ้น 3 ครั้ง
ครั้งแรกทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์หลังตรัสรู้ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่เมืองสารนาท แคว้นพาราณสี ที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรส่วนครั้งที่ 2 และ 3 นั้น ทรงแสดงธรรม ณ เมืองกฤตธาราโกติ แคว้นราชคฤห์ และที่ไวศาลี
Comments